Google Cardboard แว่น VR ไอเดีย จาก Google



Google Cardboard 
แว่น VR ไอเดีย จาก Google

VR มีชื่อเต็มๆ ว่า Virtual Reality หรือก็คือการจำลองบางอย่างขึ้นมาให้เสมือนจริง ดังนั้นแว่น VR ก็คือแว่นที่ให้ผู้ใช้สวมใส่แล้วมองเห็นภาพข้างในนั้นได้เหมือนของจริง

Google ก็ได้แสดงผลงานตัวหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ Google Cardboard ต่อไปจะขอเรียกสั้นๆ ว่า Cardboard มีความน่าสนใจ ตรงที่ทำขึ้นมาจากกระดาษ เพียงแค่ประกอบๆ แล้วใช้สมาร์ทโฟนเสียบเข้าไปเพื่อใช้เป็นหน้าจอแสดงผล เท่านี้ก็ได้แว่น VR ที่ทำได้ง่ายๆแล้ว~!

เมื่อประกอบเสร็จแล้วก็สามารถสวมเพื่อมองหน้าจอได้เลย เป็นอะไรที่เรียบง่ายและต้นทุนราคาถูก
โดยตัวกล่องนี้ก็จะให้ผู้ใช้สามารถประกอบขึ้นมาเป็นกล่องได้ไม่ยากนัก โดยอุปกรณ์อื่นนอกเหนือจากกล่องกระดาษก็จะมีเลนสฺ์นูนสองอัน แม่เหล็กอีกสองตัว หนังยางหนึ่งเส้น เทปตีนตุ๊กแกสองแผ่น กาวสองหน้าหนึ่งแผ่น แล้วก็สติ๊กเกอร์ NFC


หลังจากประกอบกล่องเสร็จแล้ว ก็คือโหลดแอป  Cardboard ลงในสมาร์ทโฟน ซึ่ง Google ทำออกมาเพื่อใช้กับตัวนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้ทดสอบใช้งานกันแบบง่ายๆ

แอพฯ Cardboard ก็จะมีให้ฟังก์ชันให้ทดลองเล่นอยู่ 4-5 อย่าง เช่นการดู YouTube เหมือนอยู่ในโรงภาพยนตร์ หรือนิทรรศการที่แสดงภาพกราฟิกของงานศิลปะ ซึ่งทุกๆ เมนูจะสามารถหมุนไปมาหรือกดเลือกด้วยการดึงแหวนแม่เหล็กได้ (YouTube สั่งงานด้วยเสียงเพื่อค้นหาวีดีโอที่จะเล่นได้ด้วยล่ะ)

ทำงานได้ยังไง?
Cardboard สามารถทำให้ผู้ใช้หมุนหัวไปดูฉากโดยรอบได้อย่างไร? ใช้เทคโนโลยี Gyroscope ที่เกิดมาเพื่อวัดความเร่งเชิงมุม

ทำไมถึงมองเห็นเป็นภาพ 3 มิติได้?

         ภาพ 3 มิติที่เกิดขึ้นใน Cardboard จะเรียกว่า Stereoscopy (ภาพ 3 มิติมีหลายวิธี) ซึ่งก่อนอื่นต้องเข้าใจกันก่อนว่ามนุษย์นั้นมองเห็นภาพเป็น 3 มิติแบบปกติๆ ได้อย่างไร
        ให้ลองถืออะไรไว้ที่ข้างหน้าใกล้ๆ จมูก ส่วนตามองตรงไปข้างหน้า แล้วลองหลับตาข้างหนึ่งดู แล้วจำภาพที่ตาอีกข้างเห็นไว้ พอลองปิดตาอีกข้างแทนก็จะเห็นภาพเดิมแต่เป็นมุมมองที่ต่างกัน (ลองสลับไปมาๆ ก็จะเห็นได้ไม่ยาก)
        โดยตาทั้งสองของมนุษย์ถึงจะเห็นภาพที่เหมือนๆ กันก็จริง แต่ก็จะมีมุมของภาพต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับระยะของวัตถุ ยิ่งวัตถุอยู่ใกล้ มุมภาพของวัตถุนั้น ก็จะยิ่งต่างกันมากขึ้น เมื่อตาได้รับภาพที่แตกต่างกันแบบนี้ก็จะถูกส่งเข้าสมองเพื่อแปลออกมาให้มนุษย์มองเป็นภาพ 3 มิติแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง

       วิธีนี้จึงสามารถนำมาประยุกต์กับ Cardboard ได้ เพราะในกล่อง Cardboard เมื่อสวมใส่เข้าไปก็จะไม่เห็นภาพอะไรนอกจากหน้าจออยู่แล้วและตาสองข้างก็มองเห็นภาพหน้าจออย่างละครึ่งๆ ดังนั้นที่ทำก็คือตั้งใจให้แสดงภาพสองภาพที่เป็นภาพเดียวกันแต่มีมุมมองต่างกันเล็กน้อยนั่นเอง

พอผู้ใช้มองเห็นภาพข้างใน Cardboard ที่มุมต่างกันเล็กน้อย สมองก็จะแปลออกมาเป็นภาพ 3 มิติไปโดยปริยาย และอย่างที่บอก วัตถุที่อยู่ใกล้ มุมภาพของวัตถุนั้นๆก็จะยิ่งต่างกันมากขึ้นเมื่อนำภาพมาซ้อนกัน


มองเห็นภาพบนหน้าจอในระยะใกล้ๆแบบนั้นได้อย่างไร?
        สำหรับคำถามนี้คงตอบกันได้ไม่ยาก เพราะว่าเห็นทุกครั้งเมื่อใช้งาน นั่นก็คือ "เลนส์นูน" ที่จะช่วยปรับระยะภาพให้สามารถมองได้ชัดเจนเมื่อหน้าจออยู่ใกล้ๆ

ดังนั้นเมื่อมองเข้าไปในเลนส์ ระยะภาพที่เห็นหน้าจอก็จะชัดเจนพอดิบพอดี (เว้นแต่ว่าผู้ที่หลงเข้ามาอ่านจะมีสายตาไม่ปกติ) ซึ่งต้องใช้เลนส์ที่มีระยะโฟกัสเหมาะสมด้วยถึงจะเห็นได้ชัดพอดี

ดึงแหวนแม่เหล็กเพื่อเลือกเมนูแทนการแตะบนจอ?
ดูน่าสนใจดีว่าทำไมการดึงแหวนแม่เหล็กแล้วปล่อยมันจึงทำให้หน้าจอถูกแตะได้ด้วยหรือ?

สำหรับแม่เหล็กที่ใช้นี่ไม่ใช่แม่เหล็กธรรมดานะ เพราะมีแม่เหล็ก Neodymium ที่เป็นแม่เหล็กสังเคราะห์ที่มีความเข้มของสนามแม่เหล็กที่สูงมาก (แต่ถึงกระนั้นก็หาซื้อได้ในราคาไม่ถึงร้อย) ติดอยู่กับอีกฝั่งที่เป็นแม่เหล็กธรรมดาๆ โดยที่แม่เหล็ก Neodymium จะเป็นแบบวงแหวนเพื่อให้เอานิ้วเกี่ยวเพื่อดึงได้


ใช้หลักการเปลี่ยนแปลงของค่าสนามแม่เหล็ก โดยใช้ Magnetic Sensor ที่มีอยู่ในเครื่อง เมื่ออยู่ในสถานะปกติ (ยังไม่ได้ดึงแหวนแม่เหล็กแล้วปล่อย) ก็จะมีค่าความเข้มสนามแม่เหล็กที่คงที่ แต่เมื่อผู้ใช้ดึงแหวนแม่เหล็กแล้วปล่อยก็จะทำให้ค่าที่วัดได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งค่าที่เปลี่ยนแปลงไปจะมีค่ามากพอที่จะสามารถรับรู้ได้ (Peak ของการเปลี่ยนแปลงค่าค่อนข้างสูง) ดังนั้นก็จะให้ทำการเลือกเมนูนั้นๆแทนการแตะจอนั่นเอง

ซึ่งค่าของสนามแม่เหล็กนี้ต้องไม่น้อยเกินไปและก็ไม่มากเกินไป เพราะถ้าน้อยเกินไปก็จะไม่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของค่าดังกล่าวได้ และถ้ามากเกินไปก็จะถึงจุดอิ่มตัวของ Magnetic Sensor ทำให้ไม่สามารถวัดค่าได้ (ค่าจะค้างไม่มีการเปลี่ยนแปลง) ซึ่งจุดนี้จึงต้องให้ความสำคัญกับแม่เหล็ก Neodymium ที่นำมาใช้งานด้วย

        ลูกเล่นตรงจุดนี้พอมาลองดูแบบละเอียดๆก็ถึงรู้ได้ว่าไอเดียของ Google นั้นเจ๋งมาก ที่ประยุกต์เอา Magnetic Sensor มาใช้ร่วมกับแม่เหล็ก Neodymium

การจับ Cardboard ตั้งเพื่อกลับไปหน้าหลัก

อันนี้ทำได้ไม่ยากเพราะว่าอุปกรณ์แอนดรอยด์แทบจะทุกตัวมี Orientation Sensor ให้อยู่แล้ว ซึ่งเป็น Sensor ที่ประยุกต์มาจาก Accelerometer เพราะ Orientation Sensor ไม่ได้เป็นชื่อเรียกตัว Hardware Sensor แต่อย่างใด จริงๆ แล้วเป็น Software Sensor ที่ใช้ Accelerometer ประยุกต์เพื่ออ่านทิศทางของเครื่องว่าอยู่ในทิศทางใดนั่นเอง

Requirement ของ Google Cardboard

        จากการทำงานต่างๆ เห็นได้ว่าอุปกรณ์แอนดรอยด์ที่รองรับกับ Cardboard จะต้องประกอบไปด้วย Gyroscope, Orientation Sensor, Magnetic Sensor และต้องมีขนาดหน้าจอที่พอเหมาะ ซึ่งอยู่ในช่วง 4.5 นิ้วถึง 5 นิ้วจะกำลังเหมาะ ถ้าใหญ่กว่านั้นก็จะปิดฝากล่องไม่ได้ ลองกับ Note 2 แล้วล้นออกมาเลยทีเดียว ส่วน NFC ก็เป็นแค่ของเสริมเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ (ก็กดเปิดเอง)
      
เลนส์นูน

       เลนส์นูนนั้นจะต้องมีระยะโฟกัสที่เหมาะสมพอดี หรือไกลออกไปนิดหน่อยก็รับได้ เพราะว่าปรับให้ห่างได้ แต่ปรับให้ใกล้ขึ้นไม่ได้นั่นเอง และไม่จำเป็นว่าต้องทำจากกระจกหรือพลาสติก
จากที่ลองบางรุ่นพบว่าระยะโฟกัสไม่เท่ากับของ Cardboard ทำให้ต้องปรับระยะออกไปเล็กน้อยถึงจะชัด ส่วนสเปคของเลนส์นูน ซึ่งผมก็ไม่รู้นะว่าต้องใช้แบบที่มีระยะโฟกัสเท่าไร เพราะที่ขายๆ กันไม่มีระบุถึงขนาดนั้น แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรอยู่ในระยะที่ไม่ต้องปรับเยอะมาก

แม่เหล็ก Neodymium

        อันนี้อธิบายไปแล้วว่าควรจะมีค่าความเข้มของสนามแม่เหล็กที่พอดีไม่มากเกินไป แต่ค่าน้อยก็ย่อมดีกว่าค่าเกิน เพราะว่าเจอใน Clone บางตัวมีค่าสนามแม่เหล็กเข้มเกินไปทำให้เวลาที่ดึงแหวนแม่เหล็กแล้วไม่มีผลอะไร ต้องปรับระยะออกมาหน่อยๆเพื่อให้ค่าที่วัดได้ลดลง แต่มันก็จะไปสัมพันธ์กับระยะเลนส์ด้วย อันนี้ต้องระวังให้ดี
    



สำหรับแม่เหล็กธรรมดาไม่ได้ระบุเจาะจงมากนัก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 19mm และหนา 3mm ก็โอเคแล้ว ขอแค่ว่าใส่ในช่องที่เจาะไว้แล้วใน Cardboard ได้ก็พอ

ส่วนแม่เหล็ก Neodymium ควรใช้เป็นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางวง
นอก 19mm วงใน 10mm และหนา 3mm จะกำลังดี

  
Google Cardboard ไม่ได้เป็นเทคโนโลยีอะไรที่ใหม่มากนัก เป็นแค่การนำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาประยุกต์ใช้ให้เกิดความแปลกใหม่ซะมากกว่า เพราะจริงๆ แล้วการทำแว่น VR โดยใช้สมาร์ทโฟนนั้นมีเจ้าอื่นทำมาก่อนอยู่แล้วชื่อ Durovis Dive แต่ Google ก็ได้นำมาประยุกต์ให้อยู่ในรูปที่มีราคาถูกลงเพื่อให้ใครๆ ก็เล่นได้

ที่มา droidsans.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น