จับกระแสจากการคาดการณ์ของการ์ตเนอร์ในปี 2015 เน้นไปที่เรื่องการประมวลผล การรวมตัวระหว่างโลกของความจริง (Real) และโลกเสมือน (Virtual) การอุบัติขึ้นของระบบอัจฉริยะ (Intelligence) ในทุกหนแห่ง และผลกระทบต่อธุรกิจบนฐานดิจิตอล
10 สุดยอดเทคโนโลยียุทธศาสตร์ของการ์ตเนอร์ ในปี 2015 ประกอบด้วยเทคโนโลยี ดังต่อไปนี้

Computing Everywhere
เทคโนโลยีตัวแรกที่กล่าวถึงในปีนี้ คือ Computing Everywhere หรือเรียกว่า ประมวลผลได้ทุกหนทุกแห่ง อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดไปทั่วของอุปกรณ์โมบายล์ โดยทำนายไว้ว่า การแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นอย่างยั้งไม่อยู่เช่นนี้ จะทำให้มีการสนองความต้องการของผู้ใช้ในบริบทเรื่องราวและในสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่แตกแขนงออกไปเรื่อยๆ ซึ่งต่างจากที่ผ่านมาที่มุ่งพัฒนาตัวเครื่องมือโมบายล์เหล่านี้โดยตรง
โทรศัพท์กับอุปกรณ์พกพาเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมของการประมวลผล ซึ่งจะรวมถึง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำพวก Consumer Electronics และ Connected Screen ทั้งในที่ทำงานและในที่สาธารณะทั่วไป สภาพการณ์เช่นนี้จะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ เพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้โมบาย ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้จะเป็นเรื่องที่ท้าทายระดับบริหารสำหรับบรรดาองค์กรด้านไอที เนื่องจากจะสูญเสียการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ณ จุดผู้ใช้งานตัวจริงไปเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งนี้นำไปสู่การที่ต้องเพิ่มความใส่ใจในการออกแบบที่อยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ของผู้ใช้งาน
The Internet of Things
Internet of Things หรือ IoT ส่วนผสมระหว่าง Data Stream และบริการต่างๆ เป็นทุกสิ่งอย่างที่เป็นในรูปดิจิตอล ก่อให้เกิดการใช้งานใน 4 รูปแบบใหญ่ๆ ได้แก่ Manage, Monetize, Operate, Extend รูปแบบพื้นฐาน 4 เรื่องนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานในรูปของอินเทอร์เน็ตต่างๆ ได้มากมาย องค์กรหรือบริษัทต่างๆ ไม่ควรจำกัดในแนวคิดเฉพาะ IoT ซึ่งประกอบด้วยสินทรัพย์ (Assets) และอุปกรณ์ (Machines) เท่านั้น ที่สามารถยกระดับไปสู่รูปแบบพื้นฐาน 4 เรื่องดังกล่าว
ยกตัวอย่างเช่น รูปแบบที่ของโมเดล pay-per-use สามารถประยุกต์ใช้ได้กับ Assets อย่าง Industrial Equipment รูปแบบที่เรียกว่า pay-as-you-drive-insurance สามารถประยุกต์ใช้ได้กับการบริการ รวมทั้งการเคลื่อนไหวสามารถประยุกต์ใช้กับผู้คน หรือแม้แต่การให้บริการคลาวด์ก็สามารถประยุกต์ใช้กับระบบต่างๆ เป็นต้น ซึ่งต่างก็สามารถประยุกต์ใช้ได้กับ 4 รูปแบบพื้นฐานได้ทั้งสิ้น
3D Printing

Advanced, Pervasive and Invisible Analytics
เป็นเทคโนโลยีดาวรุ่งในปี 2015 Analytics ที่มีคุณสมบัติเป็นเวอร์ชันขั้นสูง ครอบคลุมทุกๆ อณูของข้อมูลและอยู่เหนือการคาดการณ์ โดยตัว Analytics จะเป็นจุดศูนย์กลางที่รวมเอาปริมาณของข้อมูลที่เกิดจากระบบฝังตัวที่เพิ่มขึ้นมามากมาย และกวาดเอาข้อมูลทั้งที่มีโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง ซึ่งมาจากภายในและภายนอกองค์กร แล้วทำการวิเคราะห์ผลลัพธ์ออกมา App ทุกๆ ตัวในปัจจุบันจำเป็นต้องอยู่ในรูป Analytics App ซึ่งผู้เชี่ยวชาญของการ์ตเนอร์ฟันธงเอาไว้
สำหรับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ จำเป็นต้องมีการกลั่นกรองอย่างดีที่สุด ซึ่งจำนวนข้อมูลขนาดมหึมาที่ได้มาจาก IoT, Social Media และบรรดาอุปกรณ์ใช้งานแล้วจึงประมวลให้ได้ข้อมูลสารสนเทศ จากนั้นส่งให้ถูกคนหรือให้กับผู้ที่ต้องการใช้โดยตรง และถูกเวลาด้วย
ด้วยเหตุนี้ Analytics จะเป็นเครื่องมือที่ฝังตัวอยู่ทั่วไปในทุกหนแห่งในมิติที่ลึก และไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน Big Data ยังคงเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดแนวโน้มเช่นนี้ขึ้นมา แต่จุดโฟกัสจะปรับไปสู่การเปิดประเด็นคำถามและคำตอบในภาพใหญ่ๆ เป็นเรื่องหลัก โดย Big Data เป็นเรื่องรอง คุณค่าจะอยู่ที่คำตอบที่ได้รับไม่ใช่ข้อมูล
Context-Rich Systems
Context-Rich Systems เป็นเทคโนโลยีตัวที่ 5 โดยอยู่บนหลักการของการประมวลผลแบบทุกหนแห่งด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ใดๆ ก็ได้ที่อยู่ในกระแส ซึ่งก็หมายถึง Ubiquitous นั่นเอง โดยการ์ตเนอร์ระบุว่า ด้วยระบบฝังตัวอัจฉริยะบวกกับเครื่องมือ Analytics ที่กระจายไปทั่ว จะเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาระบบต่างๆ ที่จะมีความพร้อมตลอดเวลาที่สามารถตอบสนองต่อเงื่อนไข หรือในสภาวการณ์แวดล้อมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริบทเป้าหมายที่ตั้งไว้

Context-aware security จะเป็นแอปพลิเคชันตัวแรกๆ ในการประยุกต์ขีดความสามารถในเรื่องนี้ และจะมีตัวอื่นๆ อุบัติขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน ด้วยความเข้าใจต่อบริบทที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้อยากรู้อยากได้ บรรดาแอปพลิเคชันต่างๆ ไม่เพียงแต่ปรับระดับของความมั่นคงปลอดภัย หรือ Security ให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น แต่จะมีการปรับวิธีการที่จะสื่อสารหรือส่งข้อมูลไปยังผู้ใช้ด้วย ซึ่งจะทำให้ง่ายหรือลดความยุ่งยากในการประมวลผลพร้อมๆ กับการเพิ่มปริมาณการใช้งานในแนวนี้ขึ้นมาอีกด้วย
Smart Machines
เทคโนโล Smart Machines โดย Analytics ในเชิงลึก ที่ประยุกต์ใช้เพื่อให้เข้าใจบริบทที่ผู้ใช้ต้องการ จะเป็นเงื่อนไขสำคัญนำไปสู่โลกของ Smart Machines ด้วยฐานที่วางไว้เช่นนี้ ผนวกกับกลไกทางคณิตศาสตร์ขั้นสูง ทำให้ระบบต่างๆ เข้าใจเงื่อนไขสภาพการณ์ มีการรับรู้ด้วยตัวระบบเอง และจะมีการทำงานด้วยตัวมันเองในที่สุด ยานพาหนะต้นแบบที่ขับเคลื่อนเอง Robot ขั้นสูง VPA- Virtual Personal Assistant และ Smart Advisor เหล่านี้ ต่างก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้ว และจะมีพัฒนาการก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะเริ่มต้นยุคใหม่ของการมีเครื่องจักรที่คอยช่วยเหลือคน ยุคใหม่ของ Smart Machine เช่นนี้ จะนำไปสู่ยุคที่พุ่งแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ด้านไอทีเลยทีเดียว

Cloud/Client Computing
Cloud/Client Computing เป็นการหลอมรวมระหว่าง Cloud และ Mobile ยังคงจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของแอปพลิเคชันส่วนกลางที่ใช้ร่วมกันจะสามารถเข้าถึงใช้งานได้จากทุกอุปกรณ์ผู้เชี่ยวชาญ Cloud นั้น เป็นสไตล์ใหม่ของการประมวลผลที่มีความยืดหยุ่น และเพิ่มลดขนาดตามความต้องการได้ ในขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายด้านเน็ตเวิร์ก และแบนด์วิดธ์ ต่างก็จะยังคงเอื้ออำนวยในด้านค่าใช้จ่ายต่อโลกของแอพ ซึ่งมีการใช้ระบบอัจฉริยะ
ส่วนสตอเรจในฝั่งลูกค้าผู้ใช้งานหรือ Client มีประสิทธิผล ซึ่งหมายความว่า การประสานและบริหารจัดการจะเป็นเรื่องของระบบ Cloud เป็นพื้นฐานนั่นเอง ในระยะใกล้ การโฟกัสที่ระบบ Cloud/Client จะเป็นเรื่องของการผสมผสาน Content และการประยุกต์แบบไขว้และข้ามไปมาระหว่างอุปกรณ์หลายตัว และการเปลี่ยนผ่านแอปพลิเคชันระหว่างอุปกรณ์ใช้งานต่างๆเหล่านั้น ในระยะต่อไปแอปพลิเคชันต่างๆ จะมีพัฒนาการไปสู่การสนับสนุนการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ หลายๆ ตัวในเวลาเดียวกัน การใช้งาน Second Screen ในทุกวันนี้ก็เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงการมุ่งเชื่อมประสานการดูทีวีด้วยการใช้อุปกรณ์โมบายล์ของเรานั่นเอง ในอนาคต เกมต่างๆ และ Enterprise Application ที่คล้ายกัน จะใช้จอภาพหลายจอและใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ติดตัวต่างๆ ที่มีอยู่ เพื่อรังสรรค์ประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้งาน
Software-Defined Applications and Infrastructure
การออกแบบและพัฒนาโปรแกรมแบบ Agile สำหรับทุกเรื่องนับแต่แอปพลิเคชันไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานขั้นเบสิก เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เกิดระบบที่มีความยืดหยุ่น สำหรับการดำเนินธุรกิจแบบดิจิตอลสัมฤทธิ์ผล การพัฒนาในรูปแบบที่เรียกว่า Software-Defined ทั้งในด้าน Networking, Storage, Data centers และ Security ต่างก็เข้าขั้นกำลังสุกงอม บริการ Cloud นั้นเป็นเรื่องของการตั้งค่าซอฟต์แวร์ด้วย API และแอปพลิเคชันด้วย โดยมี Rich API เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเข้าถึงฟังก์ชันและคอนเทนต์ผ่านโปรแกรมที่ทำไว้ เพื่อให้สามารถจัดการกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สำหรับธุรกิจยุคดิจิตอลและการเพิ่ม-ลด ของ Scale ที่ต้องการ การประมวลผลจะต้องปรับจากระบบเดิมแบบนิ่งๆ ไปสู่รูปแบบที่มีพลวัต ทั้งในเรื่องกฎ-กติกา รูปแบบ และโค้ดต่างๆ ที่จะต้องสามารถนำมาประกอบร่างกันได้อย่างมีพลวัตหรือยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่เน็ตเวิร์กลงไปจนถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ต้องการ
Web-Scale IT
Web-Scale IT เป็นแบบแผนของการประมวลผลระดับโลก ซึ่งเป็นการดำเนินการในเรื่องขีดความสามารถของ cloud service provider ขนาดใหญ่สำหรับตอบสนองไอทีขององค์กรหรือธุรกิจ หลายๆ องค์กรและธุรกิจเริ่มคิดถึง เริ่มดำเนินการ และเริ่มสร้าง ในเรื่องนี้กันแล้ว ทั้งในด้านแอพพลิเคชัน และอินฟราสตรักเจอร์ ตัวอย่าง เช่น บรรดาเว็บยักษ์ใหญ่ทั้งหลายอย่าง Amazon, Google และ Facebook การพัฒนา Web-Scale IT ไม่สามารถเนรมิตได้ข้ามคืน แต่จะมีพัฒนาการไปกับกาลเวลา เนื่องมาจากฮาร์ดแวร์ แพลตฟอร์ม เชิงพาณิชย์ สามารถรองรับรูปแบบใหม่ๆ พร้อมด้วย วิธีการในการพัฒนาคลาวด์ที่มีความคุ้มค่า และ Software-defined ได้ก้าวเข้าสู่กระแสหลักของวงการแล้ว
การ์ตเนอร์แนะนำว่า การพัฒนา Web-Scale IT ในก้าวแรกสำหรับองค์กรต่างๆ ควรอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า DevOps ซึ่งเป็นการนำเอาการพัฒนา (Development) และการดำเนินงาน (Operation) เข้ามาไว้ด้วยกัน ในแนวทางประสานสัมพันธ์กันเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแอปพลิเคชัน และเซอร์วิส อย่างรวดเร็วในรูปแบบของการต่อยอดขึ้นไปเป็นส่วนๆ
Risk-Based Security and Self-Protection
Risk-Based Security and Self-Protection การก้าวสู่อนาคตบนฐานดิจิตอลจะต้องผ่านช่องทางความมั่นคงปลอดภัยหรือ Security อย่างไรก็ตาม ในโลกธุรกิจแบบดิจิตอลนั้น ระบบ Security จะไม่สามารถขวางกั้นไปสู่ความก้าวหน้า โดยองค์กรต่างๆ ต่างก็ยอมรับแล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เกิดระบบ Security แบบ 100% จึงทำให้หันมาให้ความสำคัญและดำเนินการในด้าน Risk Assessment ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นพร้อมๆ กับการใช้เครื่องมือเพื่อต่อสู่และบรรเทาภัยที่จะเกิดขึ้น

ในทางเทคนิคนั้น การตระหนักและยอมรับในอาณาเขตที่มีการป้องกันที่ไม่เพียงพอ และการใช้แอปพลิเคชันต่างๆ ที่ต้องระวังมากขึ้นในด้าน Security จะทำให้นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของวิธีการที่ต้องมีความรอบคอบหลายด้าน การออกแบบแอปพลิเคชันที่คำนึงถึง Security การทดสอบด้าน Security ทั้งในสภาวะ Static และ Dynamic และ การมี Runtime Application ที่มีระบบป้องกันตนเอง ผสมผสานกับ Context-aware ที่มีความพร้อมตลอดเวลา พร้อมด้วย ระบบ Access-control แบบปรับตัวได้ เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องการเพื่อเผชิญโลกดิจิตอลที่มีอันตรายรอบด้านอย่างทุกวันนี้ วิธีคิดดังกล่าวนี้นำไปสู่รูปแบบใหม่ๆ ในการสร้างระบบ Security โดยตรงลงในตัวแอปพลิเคชันเลย การกำหนดอาณาเขตและไฟร์วอลล์ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว ทุกๆ แอปพลิเคชั่นต้องสามารถรู้ได้ด้วยตัวเองและป้องกันตนเองได้ด้วย
ที่มา: นิตยสาร eLeader ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2557
ปี 2015 การ์ตเนอร์ระบุว่า อยู่ใน 3 ธีมหลัก ประกอบด้วย
(1) การรวมตัวระหว่างโลกของความจริง (Real) และโลกเสมือน (Virtual)
(2) การอุบัติขึ้นของระบบอัจฉริยะ (Intelligence) ในทุกหนแห่ง และ
(3) ผลกระทบต่อธุรกิจบนฐานดิจิตอล โดย 10 สุดยอดเทคโนโลยียุทธศาสตร์ของการ์ตเนอร์ ในปี 2015 ประกอบด้วยเทคโนโลยี ดังต่อไปนี้ - See more at: http://www.uih.co.th/knowledge/view/788#sthash.h9fJZsW0.dpuf
(1) การรวมตัวระหว่างโลกของความจริง (Real) และโลกเสมือน (Virtual)
(2) การอุบัติขึ้นของระบบอัจฉริยะ (Intelligence) ในทุกหนแห่ง และ
(3) ผลกระทบต่อธุรกิจบนฐานดิจิตอล โดย 10 สุดยอดเทคโนโลยียุทธศาสตร์ของการ์ตเนอร์ ในปี 2015 ประกอบด้วยเทคโนโลยี ดังต่อไปนี้ - See more at: http://www.uih.co.th/knowledge/view/788#sthash.h9fJZsW0.dpuf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น