แนะนำองค์กร




ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ก่อตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2529 ระยะเริ่มต้นมีสถานะเป็นโครงการภายใต้ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงาน (ชื่อในขณะนั้น) ต่อมาในวันที่ 30 ธันวาคม 2534 เนคเทคได้เปลี่ยนแปลงสถานะเป็นศูนย์แห่งชาติเฉพาะทาง และเปลี่ยนการจัดรูปแบบองค์กรใหม่ เพื่อให้มีความคล่องตัวขึ้นกว่าเดิม ตามพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534

ปัจจุบันเนคเทคเป็นหน่วยงานเฉพาะทางของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีการบริหารงานในรูปแบบที่เป็นอิสระ ภายใต้สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  โดยมีทิศทางการดำเนินงาน "ร่วมสร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่ก่อเกิดประโยชน์มีความเป็นเลิศ"

วิสัยทัศน์
เป็นองค์กรวิจัยที่ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรเพื่อสร้างผลงานที่ก่อเกิดประโยชน์ มีความเป็นเลิศ ซึ่งสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตลอดจนภูมิภาค

พันธกิจ  
ดำเนินการวิจัย พัฒนา ออกแบบ วิศวกรรม และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมภายในประเทศให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากร ตลอดจนเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจ สังคม และชุมชนของประเทศ 



Vol21.Esfet

                                                                                          ฉบับที่ 21 เดือนตุลาคม 2556


            ระบบตรวจวัดน้ำเพื่อการเกษตรแบบอัตโนมัติด้วยมัลติอีสเฟตเซ็นเซอร์

เป็นระบบแบบอัตโนมัติสำหรับตรวจวัดเชิงปริมาณในสารละลายที่ใช้ฐานเทคโนโลยีของ Ion Sensitive Field Effect Transistor (ISFET) รองรับการพัฒนาเซ็นเซอร์ทางเคมี สามารถตรวจวัดค่าพีเอช (pH) ค่าไนเตรท (Nitrate) และอุณหภูมิ (Temperature) ในสารละลายแบบอัตโนมัติ 
 


ประกอบด้วยส่วนสำคัญ ได้แก่
  • ระบบ Flow Injection Analysis มีโปรแกรมสำหรับปรับเทียบค่าด้วยตัวเอง (Self Calibration) ซึ่งสามารถ Calibration หัววัดแต่ละชนิดได้เองตามรอบเวลาที่ตั้งโปรแกรมไว้ ทำให้สามารถเก็บข้อมูล การวัดค่าได้ค่าต่อเนื่องแม่นยำ
  • เซ็นเซอร์ทางเคมีและชีวภาพที่เป็น Ion Sensitive Field Effect Transistor (ISFET) ซึ่งได้เปรียบเซ็นเซอร์ชนิดอื่นๆ เพราะมีขนาดเล็กและมีความไวในการตรวจวัดสูง
  • มีแนวโน้มที่ดีที่จะพัฒนาเป็นระบบของไหลขนาดเล็ก (Microfluidic) โดยการฝัง ISFET ลงไป ระบบแบบนี้จะมีประโยชน์อย่างสูงในการลดปริมาณการใช้สาร ทั้งที่เป็นสารในการทำ Calibration และสารในการตรวจวัด ซึ่งทีมวิจัยคาดหวังว่าจะได้พัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ในอนาคตอันใกล้

จุดเด่นของเทคโนโลยี

  • ตัวทรานสดิวเซอร์เป็นอุปกรณ์ ISFET ตอบสนองต่อการวัดได้อย่างอย่างรวดเร็วแม่นยำ ความทนทานสูง ขนาดเล็ก ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบเดียวกับ CMOS สามารถผลิตได้เป็นจำนวนมากภายในประเทศ ที่ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์
  • เทคโนโลยีการสังเคราะห์โพลิเมอร์ สำหรับสร้างเป็น sensing membrane เพื่อตรวจวัดไอออนชนิดต่างๆ ในสารละลาย
  • ระบบ Flow Injection Analysis (FIA) พัฒนาโดย บริษัทบางกอกไฮท์แลป ระบบนี้ทำให้สามารถทำการตรวจวัดได้อย่างอัตโนมัติชาญฉลาด แม่นยำ ง่ายและเหมาะสมสำหรับผู้ใช้กลุ่มต่างๆ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์
โทรศัพท์ 038-857-100

Vol23.cellScan

ฉบับที่ 23 เดือนมกราคม 2557

ระบบตรวจนับเซลล์แบบอัตโนมัติด้วยภาพจาก CMOS Sensor

การนับจำนวนเซลล์เป็นการตรวจสอบคุณภาพคุณสมบัติต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีความจำเป็นมากในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นการตรวจสอบผลผลิตที่ได้พัฒนาขึ้นมา ตัวอย่างเช่นในกระบวนการผลิตยา จำเป็นที่จะต้องอาศัยการนับจำนวนเซลล์เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของยา โดยตรวจสอบจากปริมาณของเซลล์ที่ลดลงไป ซึ่งในปัจจุบันมีเครื่องมือนับอัตโนมัติเข้ามาจำหน่ายภายในประเทศไทยมากขึ้น แต่เนื่องจากมีราคาสูง มีขนาดใหญ่ และต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ผลการนับ ทำให้ไม่คุ้มค่าในการลงทุนกับบริษัทที่มีการใช้งานในจำนวนครั้งที่ไม่มาก
ระบบตรวจนับเซลล์ด้วยภาพจาก CMOS เซ็นเซอร์ (CellScan) เป็นเทคนิคการนับเซลล์แบบใหม่ที่ไม่ใช้เลนส์เป็นส่วนประกอบในการรับภาพซึ่งมีจุดเด่นที่สามารถนับจำนวนเซลล์ได้ปริมาณมากๆได้ในการทดลองนับเพียงครั้งเดียว จึงทำให้สามารถนับได้อย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือที่มีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน โดยที่ผลความถูกต้องไม่แตกต่างกัน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายด้าน เช่น ด้านการวิจัย การวิเคราะห์วินิจฉัย และอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น โดยใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจวิเคราะห์ภาพแทนการใช้เลนส์ สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชำนาญการและให้ผลวิเคราะห์ภายในเวลาอันรวดเร็ว CellScan ยังสามารถต่อยอดได้โดยการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการนับเซลล์ได้หลากชนิดภายในอนาคตอีกด้วย


จุดเด่นงานวิจัย
  • ใช้อุปกรณ์รับสัญญาณภาพ CMOS ในการตรวจนับเซลล์ ไม่มีการบิดเบือนของภาพเนื่องจากไม่ใช้เลนส์เป็นส่วนประกอบและเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต
  • พื้นที่ในการนับ (Field-of-View) ประมาณ 21 mm2 มากกว่ากล้องจุลทรรศน์ 40 เท่า และระยะลึกในการนับ (Depth-of-Field) ประมาณ 0.4 mm. มากกว่ากล้องจุลทรรศน์ 400 เท่า เมื่อเทียบกับกล้องจุลทรรศน์กำลังขยาย (400x)
  • ใช้เวลาประมวลผลรวดเร็วภายใน 20 วินาที และค่าใช้จ่ายในการนับต่อหนึ่งตัวอย่างจะมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับการนับแบบปกติทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีย้อมเซลล์เพื่อนับจำนวน
ในอนาคตโปรแกรมของระบบสามารถพัฒนาต่อยอดได้ซึ่งจะสามารถนับเซลล์ชนิดต่างๆ ได้หลากหลายมากขึ้นโดยไม่ต้องทำการปรับแก้ฮาร์ดแวร์ของตัวเครื่อง


เทคโนโลยีหลักในการพัฒนา 

CellScan ใช้หลักการของ Digital Holography ในเก็บสัญญาณทางแสงที่ได้จากตัวอย่างที่ต้องการตรวจสอบโดยสัญาณนี้มีความแตกต่างตามลักษณะรูปร่าง และความทึบแสงของเซลล์หรืออนุภาค ดังนั้นเซลล์หรืออนุภาคที่เป็นชนิดเดียวกันมักจะมีรูปร่างและความทึบแสงที่ไม่แตกต่างกัน นั่นหมายความว่าสัญญาณแสงที่ส่องผ่านวัตถุดังกล่าวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามรูปร่างและลักษณะภายในต่างๆ ของวัตถุนั้น โดย CellScan มีอุปรกณ์ที่ใช้ในการบันทึกสัญญาณแสงนั้นประกอบเป็นส่วนหนึ่งอยู่ภายใน ด้วยเหตุนี้เองที่ซอฟต์แวร์ของ CellScan สามารถช่วยในการนับเซลล์หรืออนุภาคต่างๆ ได้แม่นยำ

กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์
  • ห้องปฏิบัติการด้านการแพทย์ เช่น การทดสอบยา การตรวจนับสเตมเซลล์ การผสมเทียม และการทำเด็กหลอดแก้ว
  • ห้องปฏิบัติการวิจัยของสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัยและพัฒนาของภาครัฐและเอกชน
  • โรงงานอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เช่น การผลิตเบียร์ ไวน์และแอลกอฮอล์ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ



    การติดต่อ
    อังคาร จารุจารีต
    ผู้ช่วยนักวิจัย
    ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์
    ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
    โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2322

    ความเชี่ยวชาญ
    digital image processing and analysis, Biometrics, and digital holography


Vol24.copyCat

ฉบ้บที่ 24 เดือนมกราคม 2557


ตรวจสอบการคัดเลือกผลงานทางวิชาการและวิทยานิพนธ์ด้วย copycat 

ปัจจุบันเอกสารถูกเปลี่ยนแปลงอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ส่งผลให้ง่ายต่อการคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตัวเองโดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณ ในต่างประเทศถือว่าผิดกฎหมายสามารถถูกฟ้องร้องได้ การโจรกรรมทางวรรณกรรม (Plagiarism) จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่พบในแวดวงการศึกษาวิชาการในประเทศไทยที่เกิดขึ้นมานานแล้วและยังพบเห็นได้อยู่เสมอ ทั้งในระดับนักวิจัย ครู อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษา เป็นปัญหาที่บุคคลในวงวิชาการต้องตระหนักและเร่งแก้ไขปัญหา

การตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการ ถือเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและความละเอียดของผู้ตรวจเป็นอย่างมาก โดยปกติจะใช้วิธีการตรวจสอบการคัดลอกด้วยมือ ผู้ตรวจจะต้องทำการอ่านซ้ำวนไปวนมาในแต่ละเอกสารที่ต้องการตรวจสอบ แล้วเลือกประโยคที่คิดว่าน่าสงสัยมาตรวจสอบโดยผ่านเครื่องมือสืบค้น (Search Engine) หรือไปที่ห้องสมุด ซึ่งวิธีการนี้ต้องใช้ประสบการณ์ของผู้ตรวจมากและบางประโยคอาจหลุดการนำมาตรวจสอบ อีกทั้งแหล่งข้อมูลยังไม่ครอบคลุม จำนวนเอกสารก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เพราะฉะนั้นเครื่องมือตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการจึงเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับช่วยผู้ตรวจในการหาแหล่งที่มาของเอกสารว่าคัดลอกมาจากแหล่งใด



ปัจจุบันเครื่องมือตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานทางวิชาการในต่างประเทศที่ได้รับความนิยม เช่น Turnitin (อ่านว่า เทิร์น-อิท-อิน) เป็นเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบการคัดลอกงานเขียนจากฐานข้อมูลหลายแหล่ง เช่น เว็บไซต์ บทความตีพิมพ์ วารสาร นิตยสาร เป็นต้น มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่ใช้ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังมีข้อผิดพลาดในด้านการตรวจสอบเอกสารภาษาไทย ที่มักมีปัญหาเรื่องสระและวรรณยุกต์

หน่วยปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีเสียง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ จึงได้วิจัยและพัฒนาระบบตรวจสอบลิขสิทธิ์ผลงานวิชาการและวิทยานิพนธ์ ที่เรียกว่า ก๊อปปี้แคท (CopyCat: Copyright, Academic Work and Thesis Checking System)


CopyCat เป็นระบบตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ เช่น วิทยานิพนธ์ ข้อเสนอโครงการ ผลงานวิชาการ เว็บเพจ เป็นต้น สนับสนุนการตรวจสอบความคล้ายของเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยสามารถตรวจสอบกับเอกสารที่จัดเก็บไว้ในคลังข้อมูลหรือเอกสารออนไลน์บนอินเทอร์เน็ต และแสดงผลเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ความคล้ายกันของเอกสาร พร้อมทั้งระบุแหล่งข้อมูลที่พบและทำแถบสีข้อความในส่วนที่คล้ายกัน CopyCat ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบข้อความภาษาไทยได้ดีเมื่อเทียบกับเครื่องมือจากค่ายอื่น โดยเวอร์ชันปัจจุบันคือเวอร์ชัน 2.1
CopyCat ถือเป็นผลงานวิจัยที่มีเส้นทางการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มทำการวิจัยและพัฒนาตั้งแต่ปี พ.. 2553 ซึ่งเรียกว่า ดุ๊บดิ๊บ (Duplicate Detector Intelligent Plagiarism Checking: DupDip) โดยเริ่มแรกจุดมุ่งหมายในการพัฒนางานวิจัยนี้มาจากการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (NSC) ที่เนคเทคเป็นเจ้าภาพ ซึ่งการจัดการประกวดในแต่ละปีต้องมีการส่งขอเสนอโครงการผ่านระบบลงทะเบียนออนไลน์ที่ชื่อว่า GENA ปัญหาที่พบคือมีการคัดลอกข้อความหรือผลงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตนเองเป็นจำนวนมากหลายโครงการ ซึ่งเป็นความยากลำบากของคณะกรรมการในการตรวจสอบข้อเสนอโครงการ ดังนั้น DupDip จึงถูกพัฒนาเข้ากับระบบ GENA และนำไปใช้งานจริงตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน หลังจากนั้นได้มีการร่วมพัฒนากับหน่วยปฏิบัติการเชี่ยวชาญเฉพาะการประมวลผลภาษาธรรมชาติและระบบสารสนเทศอัจฉริยะ (NaiST Lab) ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปลี่ยนชื่อเป็น Anti-Kobpae และต่อมาในปี 2555 เนคเทคได้รับโจทย์วิจัยจากสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้เริ่มพัฒนา CopyCat จนถึงปัจจุบัน


หลักการทำงาน
ผู้ใช้ทำการส่งเอกสารที่ต้องการตรวจสอบการไปยังระบบ หลังจากนั้นระบบจะทำการวิเคราะห์เอกสารและทำการเทียบความคล้ายกับคลังเอกสารที่เตรียมไว้ ได้แก่ วิกีพีเดีย และคลังเอกสารจำเพาะ เมื่อทำการวิเคราะห์และเปรียบเทียบเสร็จ ระบบจะคืนผลลัพธ์ให้กับผู้ใช้โดยแสดงผลเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ความคล้ายกันของเอกสาร พร้อมทั้งระบุแหล่งข้อมูลที่พบและทำแถบสีข้อความในส่วนที่คล้ายกัน



คุณสมบัติผลิตภัณฑ์

  • รองรับการทำงานกับเอกสารหลายรูปแบบ เช่น pdf, doc, docx, odt, txt
  • ตรวจสอบเอกสารภาษาไทยและอังกฤษ
  • ตรวจสอบเอกสารที่ถูกเปลี่ยนแปลงบางส่วนได้ เช่น ลบคำ เพิ่มคำ หรือการสลับประโยค
  • ตรวจสอบกับหน้าเว็บบนอินเทอร์เน็ตได้
  • ตรวจสอบเอกสารกับคลังเอกสารจำเพาะได้
  • แสดงผลการตรวจสอบเป็นแถบสีข้อความที่คล้ายกันพร้อมทั้งเปอร์เซ็นต์ความคล้าย


จุดเด่น

  • ตรวจสอบการคัดลอกผลงานวิชาการและวิทยานิพนธ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
  • ตรวจสอบการคัดลอกรวดเร็วและถูกต้อง



ประสิทธิภาพ

แหล่งข้อมูล
จำนวนเอกสาร
ขนาดคลังข้อมูล (เมกะไบต์)
ขนาดเฉลี่ยของเอกสาร

(กิโลไบต์)
ขนาดดัชนี

(เมกะไบต์)
เวลาในการประมวลผล (วินาที/เอกสาร)
NSC Proposal
711
28.1
40.47
5.49
12.44
Thesis-KU
194
45.8
241.74
5.27
25.81
เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา

  • การประมวลผลภาษาไทย (Thai Natural Language Processing)
    • Word segmentation การแบ่งคำภาษาไทยโดยประยุกต์ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่มีประสิทธิภาพสูง
  • การค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval)
    • Stop words removal การกำจัดคำที่ไม่มีความหมาย
    • Term weighting calculation การคำนวณค่าน้ำหนักของคำ
  • การทำเหมืองข้อความ (Text Mining)
    • Intelligent text selection technique เทคนิคการเลือกเฉพาะข้อความที่สำคัญอย่างชาญฉลาด เพื่อลดเวลาในการตรวจเอกสาร
    • Text similarity calculation การคำนวณความคล้ายกันของข้อความ

กลุ่มเป้าหมาย

  • สถาบันการศึกษา
  • หน่วยงานให้ทุนวิจัย
  • เจ้าของผลงานที่มีลิขสิทธิ์


ประโยชน์
  • ใช้งานง่าย ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา
  • มีการทำงานในรูปแบบ รับ-ให้บริการ (Client-Server) และพัฒนาเป็นลักษณะเว็บแอปพลิเคชั่น
  • ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ครู/อาจารย์ ในการตรวจผลงานของนักศึกษา
  • ตรวจสอบผลงานตัวเองว่าถูกผู้อื่นคัดลอกหรือไม่
  • ช่วยลดปัญหาในการละเมิดลิขสิทธิ์การคัดลอกเอกสารและช่วยป้องปรามผู้วิจัยไม่ให้มีการคัดลอกผลงานวิจัยของบุคคลอื่นได้
  • ป้องกันการกระทำการคัดลอกเอกสารจากนักศึกษาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
  • ส่งเสริมให้รู้จักการอ้างอิงแหล่งที่มา
  • ปลูกฝังเยาวชนให้มีความซื่อสัตย์


    ผลกระทบต่อสังคม

  • ด้านการศึกษา เป็นเครื่องมือสำหรับครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษาที่ช่วยลดเวลาในการตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการและวิทยานิพนธ์
  • ด้านวัฒนธรรมและจริยธรรม ช่วยสร้างความตระหนักในการอ้างอิงแหล่งที่มาและปลูกฝังจิตสำนึกไม่ให้คัดลอกเอกสาร
  • ด้านพาณิชย์/สาธารณประโยชน์
    • สามารถขยายผลให้หน่วยงานผู้ให้ทุนใช้ตรวจสอบเอกสารขอทุนวิจัยซ้ำซ้อน
    • เป็นทางเลือกการใช้ซอฟต์แวร์ตรวจสอบความคล้ายกันของเอกสารเมื่อเทียบกับการใช้ซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ

งานที่จะพัฒนาในอนาคต

  • เพิ่มประสิทธิภาพระบบ
  • เพิ่มความสามารถการตรวจสอบในกรณีที่ผู้เขียนหลีกเลี่ยงการตรวจจับโดยการถอดความ/การกล่าวซ้ำหรือการสรุปสาระสำคัญ
  • ตรวจสอบข้อมูลที่เป็นรูปแบบสื่อประสม (Multimedia)
  • สร้าง Crawler และเพิ่มแหล่งข้อมูลในการตรวจสอบ
  • เลือกที่จะตรวจสอบข้อความที่อยู่ภายในเครื่องอัญประกาศ (Quotation mark("...")) ด้วยหรือไม่
  • กำหนดประโยคหรือสำนวนที่ใช้ทั่วไปไม่ต้องนำมาตรวจสอบ (Phrase Exclusion)
  • Integrate เข้ากับสื่อการเรียนรู้ออนไลน์
การคัดลอกและลอกเลียนผลงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตัวเองโดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในวงการการศึกษาของประเทศ ที่ผู้เกี่ยวข้องต้องหันมาช่วยกันแก้ไขปัญหา ปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการทั้งในและต่างประเทศมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่ง CopyCat ก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเอกสารภาษาไทย ที่ถูกพัฒนาโดยคนไทย ซึ่งวัตถุประสงค์ของเครื่องมือนี้คือ เพื่อส่งเสริมจริยธรรมและจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์งานประพันธ์ วรรณกรรม ปริญญานิพนธ์ สารนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ ตลอดจนงานเขียนอื่นๆ ใดก็ตาม ของนักเรียน นิสิต นักศึกษาตลอดจนบุคคลทั่วไป และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์งานที่ผู้สร้างเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือทรัพย์สินทางปัญญาในผลงานอย่างถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้งานซอฟต์แวร์ดังกล่าว จึงเป็นเพียงการตรวจสอบในเบื้องต้นและข้อเสนอแนะสำหรับผู้ใช้งานเท่านั้น หากแต่การตรวจสอบ พิจารณา หรือวินิจฉัยในรายละเอียดของงานเขียน ยังคงขึ้นกับดุลพินิจและการตัดสินใจของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ

ความคาดหวังต่อผลงานวิจัย คือความต้องการที่จะพัฒนาระบบตรวจสอบการคัดลอกผลงานทางวิชาการอัจฉริยะ (Intelligent Plagiarism Detection System) ให้สามารถตรวจสอบการคัดลอก ได้ทุกรูปแบบและให้สามารถตรวจสอบข้อมูลที่เป็นรูปแบบสื่อประสม (Multimedia) ได้อีก และให้ทุกสถาบันการศึกษาในประเทศไทยนำไปใช้งาน เพื่อให้ตระหนักและปลูกฝังการอ้างอิงแหล่งที่มา และส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงเอกสารระหว่าง สถาบันการศึกษาเพื่อให้ระบบสามารถตรวจสอบการคัดลอกเอกสารข้ามสถาบันการศึกษาได้



การติดต่อ
สันติพงษ์ ไทยประยูร
ผู้ช่วยนักวิจัย
ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีเสียง หน่วยวิจัยวิทยาการสารสนเทศ
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2281
 ความเชี่ยวชาญของนักวิจัย
-
ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System)
-
การทำเหมืองข้อความ (Text Mining)
-
การค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval)
-
การตรวจสอบการคัดลอก (Plagiarism Detection)


Vol22.Saiwat

  
 ฉบับที่ 22 เดือนพฤศจิกายน 2556


    SAIWAT โปรแกรมการวัดขนาดอาหารสัตว์น้ำ 


การควบคุมคุณภาพการผลิตอาการสัตว์ ส่วนมากจะใช้การสุ่มวัดขนาดอาหารเม็ดด้วยเวอร์เนียร์ทีละเม็ด ขนาดอาหารเม็ดนั้นก็เล็กมาก วัดเสร็จแล้วต้องนั้นบันทึกข้อมูลลงโปรแกรม Excel เพื่อคำนวณว่าขนาดเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ วิธีการดังกล่าวทำให้กระบวนการผลิตล่าช้า เนคเทคโดยห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีภาพ จึงพัฒนาโปรแกรม “สายวัด” (SAIWAT) หรือโปรแกรมการวัดขนาดอาหารสัตว์น้ำเพื่อการควบคุมคุณภาพ (Saving And Intelligent softWare for Automatic measurement Technology)


สายวัด เป็นโปรแกรมวัดขนาดอาหารเม็ดสัตว์ที่ใช้งานคู่กับสแกนเนอร์ โดยโปรแกรมอาศัยเทคโนโลยีภาพมาใช้ในการวัดขนาดอาหารเม็ดสำหรับสัตว์น้ำ ซึ่งเดิมใช้คนในการวัดและบันทึกผล แต่โปรแกรมสามารถคำนวณจากภาพสแกนได้ว่าอาหารเม็ดนั้นมีขนาดได้มาตรฐานสำหรับสัตว์น้ำแต่ละรุ่นหรือไม่ ซึ่งนอกจากเป็นการควบคุมขนาดอาหารเม็ดให้ได้มาตรฐานแล้ว ยังนำไปสู่การตรวจสอบย้อนกลับเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักรในระบบผลิตอาหารสัตว์น้ำด้วย



คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
- วัดอาหารสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็ก ยากต่อการวัดด้วยมือ
- วัดอาหารเม็ดได้พร้อมกัน 100-800 เม็ด โดยขึ้นอยู่กับขนาดของอาหารเม็ด
- ทำงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ ได้


จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
- ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างสแกนเนอร์ ซึ่งหาซื้อทดแทนได้ง่าย
- การใช้งานเป็นมาตรฐาน
- ใช้งานสะดวกว่าการวัดด้วยเวอร์เนียร์ ไม่ต้องหยิบอาหารสัตว์มาวัดทีละเม็ด แต่เทใส่ถาดที่เตรียมไว้เพื่อสแกนภาพและวัดด้วยโปรแกรมได้ทันที
- ประมวลผลได้รวดเร็วกว่าใช้คนวัดด้วยมือหลายเท่า โดยใช้เวลาเพียง 2-3 นาที
- ผลการวัดไม่ขึ้นอยู่ความแม่นยำของผู้วัด


กลุ่มผู้ใช้งาน
บริษัทเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์

สอบถามข้อมูล
รุ่งกานต์ ศิริเจริญไชย
ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีภาพ
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
E-mail: rungkarn.siricharoenchai@nectec.or.th
โทร.0-2564-6900 ต่อ 2251

Vol25.AlfaToxin

ฉบับที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557




ตรวจ “อะฟลาท็อกซิน” แค่ 10 วินาที

อะฟลาท็อกซิน” (Aflatoxin) สารพิษจากเชื้อราที่พบในเมล็ดพันธุ์พืช มักจะพบในพืชตระกูลถั่วที่มีเมล็ดฝังอยู่ในดิน รวมถึงพริกแห้งและหัวหอม สารพิษดังกล่าวเชื่อมโยงกับการเป็นมะเร็งตับ อีกทั้งการใช้ความร้อนสูงในการปรุงอาหารก็ไม่สามารถทำลายสารพิษนี้ลงได้ ความเป็นอันตรายถึงสารพิษที่ปนเปื้อนมาในวัตถุดิบประกอบอาหารนี้ ทำให้องค์การอนามัยโลกกำหนดให้ในอาหารมีสารพิษนี้เปื้อนในอาหารได้ไม่เกิน 20 ppb แต่ในทางปฏิบัติไม่ควรมีสารพิษนี้อยู่เลย

แรงบันดาลใจในการทำเครื่องที่ใช้ตรวจสารอะฟลาท็อกซิน มาจากการกีดกันทางการค้าจากประเทศเกี่ยวกับการห้ามนำเข้าสินค้าที่มีสารอะฟลาทอกซิน นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการวิจัยนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค/เนคเทค จึงอยากพัฒนาเครื่องตรวจสารที่มีราคาแพงประมาณ 2 ล้านบาท และใช้เวลาตรวจนานถึง 7-8 ชั่วโมง ซึ่งไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารที่ต้องตรวจหาสารพิษนี้ และในรายที่ไม่มีเครื่องตรวจแล้วต้อส่งตรวจตามห้องปฏิบัติการต่างๆ อาจต้องรอตรวจตัวอย่างนานเป็นสัปดาห์ การพัฒนาวิธีใหม่ที่สามารถตรวจอะฟลาท็อกซินได้ในเวลาเพียง 10 วินาที จึงเกิดขึ้น

 
วิธีการของเครื่องตรวจอะฟลาท็อกซินแบบเดิมจะแสดงแถบสีที่ต้องนำไปเทียบกับตาราง อีกครั้ง ทีมพัฒนาจึงออกแบบเครื่องตรวจที่แสดงผลเป็นตัวเลข โดยอาศัยหลักการวัดค่าปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักการใหม่ในการตรวจหาสารพิษใช้วัสดุแห่งอนาคตอย่าง “กราฟีน” โดยนำนาโนกราฟีนไปผลิตเป็นเซ็นเซอร์สำหรับตรวจวัดค่าปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า ทำให้ใช้เวลาในการตรวจรวดเร็วไม่กี่วินาที แต่มีความแม่นยำถึง 98% ขณะที่ต้นทุนของเครื่องตรวจไม่ถึงแสนบาท

เครื่องตรวจวัดอะฟลาท็อกซินที่พัฒนาขึ้นมานี้อาศัยหลักการ วัดค่าปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าที่หัววัด ซึ่งหัววัดดังกล่าวเคลือบสารพิเศษที่ทำปฏิกิริยาเฉพาะอะฟลาท็อกซิน และพิมพ์วงจรด้วยนาโนกราฟีนซึ่งเป็นคาร์บอนรูปแบบหนึ่ง จากนั้นเครื่องตรวจวัดจะอ่านค่าปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าที่เกิดขึ้น และแสดงผลที่หน้าจอว่ามีสารพิษจากเชื้อรานี้กี่ ppb

ผู้ประกอบการอาหารสามารถใช้เครื่องตรวจวัดอะฟลาท็อกซินนี้แทนเครื่องตรวจทั่วไปที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศในราคานับล้านบาทได้ โดยวิธีการใช้เพียงนำตัวอย่างที่ต้องการบดมาผสมสารเคมีที่กำหนดให้ จนได้สารละลายแล้วนำไปลงหยดลงหัววัด ซึ่งกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง และเมื่อหยดสารละลายลงหัววัดแล้วเครื่องตรวจจะใช้เวลาเพียง 10 วินาทีเพื่อแสดงผล แล้วเปลี่ยนหัววัดเพื่อทดสอบตัวอย่างอื่นได้อย่างต่อเนื่อง โดยค่าใช้จ่ายในการทดสอบถูกกว่าแบบเดิม”


 
เครื่องตรวจวัดอะฟลาท็อกซิน เป็นความร่วมมือระหว่างเนคเทค /หน่วยวิจัยเเพื่อความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง ไบโอเทค และ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยใช้เทคนิค PCR (Polymerase Chain Reaction) ซึ่งเป็นวิธีการตรวจเดียวกับการตรวจไวรัสในกุ้ง (LAMP)  ใช้เทคนิคการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมแบบใหม่ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า เมื่อสาธิตให้เห็นว่าสามารถตรวจดีเอ็นเอหรือสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสได้ ทางภาคเอกชนจึงให้ความเห็นว่า  น่าจะตรวจวัดสารอะฟลาท็อกซินได้เช่นกัน

ทีมวิจัยได้ใช้หลักการวัดปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าที่ให้ไฟฟ้าขนาดเล็กในระดับไมโครแอมแปร์ แต่เนื่องจากปฏิกิริยาระหว่างหัววัดและสารอะฟลาท็อกซินให้ไฟฟ้าในระดับไม่ถึงไมโครแอมป์ เทคนิค LAMP ของทางไบโอเทคจึงมีความจำเป็นเพื่อใช้ขยายปริมาณดีเอ็นเอของเชื้อราให้เยอะขึ้น แล้วผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาเยอะขึ้น นอกจากนี้ยังใช้กราฟีนซึ่งเป็นวัสดุพิเศษทำเป็นหัววัด   ทำให้การวัดกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กทำได้ดีขึ้น



ตอนนี้ทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ภาคเอกชนที่สนใจลงทุนผลิตเครื่องตรวจวัดอะฟลาท็อกซินดังกล่าว เพื่อจำหน่ายแก่ผู้ประกอบการอาหารทุกประเภทที่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์พืช ซึ่งหลังจากเปิดตัวให้ภาคเอกชนได้รู้จักเครื่องตรวจอะฟลาท็อกซิน ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากภาคเอกชนเป็นอย่างมาก และได้บริษัทเอกชนของคนไทยที่พร้อมรับการถ่ายเทคโนโลยีแล้ว ซึ่งเหลือเพียงการเจรจาในเรื่องรายละเอียด ส่วนสัญญาในการถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้นเป็นแบบ non-exclusive เอกชนรายอื่นที่สนใจจึงยังติดต่อขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอีกได้ไม่จำกัด

สอบถามข้อมูล
วัฒณสิทธิ์ พิมเพา
ห้องปฏิบัติการวิจัยนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค
แล ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและถ่ายทอดเทคโนโลยี
โทรศัพท์ 0 2564 6900
โทรสาร 0 2564 6877
e-mail : btt@nnet.nectec.or.th

Vol26.Inverter


 ฉบับที่ 26 เดือนมีนาคม 2557

เทคโนโลยีสูบน้ำแบบประหยัดด้วย Solar Pump Inverter



เทคโนโลยีสูบน้ำแบบประหยัดด้วย Solar Pump Inverter เป็นต้นแบบอินเวอเตอร์ขับปั๊มน้ำแบบขับเคลื่อนด้วยอินดักชั่นมอเตอร์แบบ PSC 220Vac เฟสเดี่ยว ซึ่งเป็นผลงานของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ โดยห้องปฏิบัติการวิจัยต้นแบบและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม วิจัยและพัฒนาขึ้น มีขนาดกำลัง 0.5 – 3 แรงม้า ที่รับไฟฟ้าจากแผงโซล่าเซลล์ขนาดกำลัง 280W แรงดันเปิดวงจร 44.5VDC ตั้งแต่ 2 – 10 แผง ต่อแบบอนุกรมกัน โดยมีระบบการจัดการพลังงานอัตโนมัติแบบ MPPT พร้อมระบบป้องกันมอเตอร์และอินเวอเตอร์ ระบบป้องกันความเสียหายจากฟ้าผ่า มาตรฐานกันฝุ่นกันน้ำ (IP55)




ข้อจำกัดของอินเวอเตอร์ทั่วไป
1. ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อต้องรับแรงดันที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามความเข้มของแสงอาทิตย์ที่ไม่แน่นอน
2. แรงดันสูง 270-350 VDC ทำให้ต้องใช้จำนวนแผงโซล่าเซลล์มากเกินความจำเป็น



จุดเด่นของอินเวอเตอร์ที่พัฒนาขึ้น
  • มีวงจรปรับเร่งแรงดัน (Energy extraction) ร่วมกับอัลกอริทึมการหาจุดที่มีพลังงานสูงสุด (Advanced MPPT) จึงทำให้ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดในทุกช่วงแสงของวัน
  • รองรับจำนวนแผงโซล่าเซลล์ได้ตั้งแต่ 2-10 แผง (ขึ้นกับขนาดมอเตอร์ปั๊มน้ำ) โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดอินเวอเตอร์
  • ครอบคลุมการใช้งานกับมอเตอร์ 1-2-3 เฟส
  • ขับอินดักชั่นมอเตอร์แบบ PSC 220VAC ขนาดกำลัง 0.5-3 แรงม้า ที่มีให้เลือกใช้งานในท้องตลาดได้หลายรุ่น/ขนาด/กำลังขับ
  • ไม่มีแบตเตอรี่ในระบบ จึงไม่เสียค่าบำรุงรักษาแบตเตอรี่
  • ไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ จึงไม่เสียค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
  • ออกแบบตามมาตรฐานป้องกันความเสียหายจากฟ้าผ่า IEC-61000-4-5
  • ออกแบบตามมาตรฐานกันฝุ่นกันน้ำ IP-55

การนำไปใช้ประโยชน์

ได้นำไปทดสอบประสิทธิภาพระดับภาคสนาม  ใน “โครงการทำนา  1 ไร่  ได้เงิน 1 แสนบาท” ซึ่งเป็นเป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมีความร่วมมือกับหอการค้าไทย ในการทดลองนำระบบอินเวอเตอร์ไปใช้ทดแทนระบบปั๊มน้ำแบบที่เคยใช้กันอยู่ทั่วไป เช่นแบบ DC, AC และแบบที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้เกิดประสิทธิภาพ การประหยัดพลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่าย โดยคิดพื้นที่ 10 ไร่ ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 350 ลิตรต่อปี


การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
    ได้รับการคุ้มครองภายใต้สิทธิบัตรคำขอเลขที่ 1201005105

การติดต่อ
สุทัศน์ ปฐมนุพงศ์ 
ห้องปฏิบัติการวิจัยต้นแบบและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2549

ความเชี่ยวชาญของนักวิจัย

   System Design