แนะนำองค์กร
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ก่อตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2529 ระยะเริ่มต้นมีสถานะเป็นโครงการภายใต้ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงาน (ชื่อในขณะนั้น) ต่อมาในวันที่ 30 ธันวาคม 2534 เนคเทคได้เปลี่ยนแปลงสถานะเป็นศูนย์แห่งชาติเฉพาะทาง และเปลี่ยนการจัดรูปแบบองค์กรใหม่ เพื่อให้มีความคล่องตัวขึ้นกว่าเดิม ตามพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534
ปัจจุบันเนคเทคเป็นหน่วยงานเฉพาะทางของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีการบริหารงานในรูปแบบที่เป็นอิสระ ภายใต้สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีทิศทางการดำเนินงาน "ร่วมสร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่ก่อเกิดประโยชน์มีความเป็นเลิศ"
วิสัยทัศน์
เป็นองค์กรวิจัยที่ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรเพื่อสร้างผลงานที่ก่อเกิดประโยชน์ มีความเป็นเลิศ ซึ่งสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตลอดจนภูมิภาค
พันธกิจ
ดำเนินการวิจัย พัฒนา ออกแบบ วิศวกรรม และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมภายในประเทศให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากร ตลอดจนเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจ สังคม และชุมชนของประเทศ
Vol21.Esfet
ระบบตรวจวัดน้ำเพื่อการเกษตรแบบอัตโนมัติด้วยมัลติอีสเฟตเซ็นเซอร์
เป็นระบบแบบอัตโนมัติสำหรับตรวจวัดเชิงปริมาณในสารละลายที่ใช้ฐานเทคโนโลยีของ
Ion
Sensitive Field Effect Transistor (ISFET)
รองรับการพัฒนาเซ็นเซอร์ทางเคมี
สามารถตรวจวัดค่าพีเอช
(pH)
ค่าไนเตรท
(Nitrate)
และอุณหภูมิ
(Temperature)
ในสารละลายแบบอัตโนมัติ
ประกอบด้วยส่วนสำคัญ
ได้แก่
- ระบบ Flow Injection Analysis มีโปรแกรมสำหรับปรับเทียบค่าด้วยตัวเอง (Self Calibration) ซึ่งสามารถ Calibration หัววัดแต่ละชนิดได้เองตามรอบเวลาที่ตั้งโปรแกรมไว้ ทำให้สามารถเก็บข้อมูล การวัดค่าได้ค่าต่อเนื่องแม่นยำ
- เซ็นเซอร์ทางเคมีและชีวภาพที่เป็น Ion Sensitive Field Effect Transistor (ISFET) ซึ่งได้เปรียบเซ็นเซอร์ชนิดอื่นๆ เพราะมีขนาดเล็กและมีความไวในการตรวจวัดสูง
- มีแนวโน้มที่ดีที่จะพัฒนาเป็นระบบของไหลขนาดเล็ก (Microfluidic) โดยการฝัง ISFET ลงไป ระบบแบบนี้จะมีประโยชน์อย่างสูงในการลดปริมาณการใช้สาร ทั้งที่เป็นสารในการทำ Calibration และสารในการตรวจวัด ซึ่งทีมวิจัยคาดหวังว่าจะได้พัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ในอนาคตอันใกล้
จุดเด่นของเทคโนโลยี
- ตัวทรานสดิวเซอร์เป็นอุปกรณ์ ISFET ตอบสนองต่อการวัดได้อย่างอย่างรวดเร็วแม่นยำ ความทนทานสูง ขนาดเล็ก ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบเดียวกับ CMOS สามารถผลิตได้เป็นจำนวนมากภายในประเทศ ที่ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์
- เทคโนโลยีการสังเคราะห์โพลิเมอร์ สำหรับสร้างเป็น sensing membrane เพื่อตรวจวัดไอออนชนิดต่างๆ ในสารละลาย
- ระบบ Flow Injection Analysis (FIA) พัฒนาโดย บริษัทบางกอกไฮท์แลป ระบบนี้ทำให้สามารถทำการตรวจวัดได้อย่างอัตโนมัติชาญฉลาด แม่นยำ ง่ายและเหมาะสมสำหรับผู้ใช้กลุ่มต่างๆ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์
โทรศัพท์
038-857-100
Vol23.cellScan
ฉบับที่ 23 เดือนมกราคม 2557
ระบบตรวจนับเซลล์แบบอัตโนมัติด้วยภาพจาก CMOS Sensor
การนับจำนวนเซลล์เป็นการตรวจสอบคุณภาพคุณสมบัติต่างๆ
ของผลิตภัณฑ์
ซึ่งมีความจำเป็นมากในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
เพราะเป็นการตรวจสอบผลผลิตที่ได้พัฒนาขึ้นมา
ตัวอย่างเช่นในกระบวนการผลิตยา
จำเป็นที่จะต้องอาศัยการนับจำนวนเซลล์เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของยา
โดยตรวจสอบจากปริมาณของเซลล์ที่ลดลงไป
ซึ่งในปัจจุบันมีเครื่องมือนับอัตโนมัติเข้ามาจำหน่ายภายในประเทศไทยมากขึ้น
แต่เนื่องจากมีราคาสูง
มีขนาดใหญ่
และต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ผลการนับ
ทำให้ไม่คุ้มค่าในการลงทุนกับบริษัทที่มีการใช้งานในจำนวนครั้งที่ไม่มาก
ระบบตรวจนับเซลล์ด้วยภาพจาก
CMOS
เซ็นเซอร์
(CellScan)
เป็นเทคนิคการนับเซลล์แบบใหม่ที่ไม่ใช้เลนส์เป็นส่วนประกอบในการรับภาพซึ่งมีจุดเด่นที่สามารถนับจำนวนเซลล์ได้ปริมาณมากๆได้ในการทดลองนับเพียงครั้งเดียว
จึงทำให้สามารถนับได้อย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือที่มีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน
โดยที่ผลความถูกต้องไม่แตกต่างกัน
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายด้าน
เช่น ด้านการวิจัย
การวิเคราะห์วินิจฉัย
และอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
เป็นต้น
โดยใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจวิเคราะห์ภาพแทนการใช้เลนส์
สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชำนาญการและให้ผลวิเคราะห์ภายในเวลาอันรวดเร็ว CellScan ยังสามารถต่อยอดได้โดยการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการนับเซลล์ได้หลากชนิดภายในอนาคตอีกด้วย
จุดเด่นงานวิจัย
- ใช้อุปกรณ์รับสัญญาณภาพ CMOS ในการตรวจนับเซลล์ ไม่มีการบิดเบือนของภาพเนื่องจากไม่ใช้เลนส์เป็นส่วนประกอบและเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต
- พื้นที่ในการนับ (Field-of-View) ประมาณ 21 mm2 มากกว่ากล้องจุลทรรศน์ 40 เท่า และระยะลึกในการนับ (Depth-of-Field) ประมาณ 0.4 mm. มากกว่ากล้องจุลทรรศน์ 400 เท่า เมื่อเทียบกับกล้องจุลทรรศน์กำลังขยาย (400x)
- ใช้เวลาประมวลผลรวดเร็วภายใน 20 วินาที และค่าใช้จ่ายในการนับต่อหนึ่งตัวอย่างจะมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับการนับแบบปกติทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีย้อมเซลล์เพื่อนับจำนวน
เทคโนโลยีหลักในการพัฒนา
CellScan ใช้หลักการของ Digital Holography ในเก็บสัญญาณทางแสงที่ได้จากตัวอย่างที่ต้องการตรวจสอบโดยสัญาณนี้มีความแตกต่างตามลักษณะรูปร่าง และความทึบแสงของเซลล์หรืออนุภาค ดังนั้นเซลล์หรืออนุภาคที่เป็นชนิดเดียวกันมักจะมีรูปร่างและความทึบแสงที่ไม่แตกต่างกัน นั่นหมายความว่าสัญญาณแสงที่ส่องผ่านวัตถุดังกล่าวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามรูปร่างและลักษณะภายในต่างๆ ของวัตถุนั้น โดย CellScan มีอุปรกณ์ที่ใช้ในการบันทึกสัญญาณแสงนั้นประกอบเป็นส่วนหนึ่งอยู่ภายใน ด้วยเหตุนี้เองที่ซอฟต์แวร์ของ CellScan สามารถช่วยในการนับเซลล์หรืออนุภาคต่างๆ ได้แม่นยำ
กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์
- ห้องปฏิบัติการด้านการแพทย์ เช่น การทดสอบยา การตรวจนับสเตมเซลล์ การผสมเทียม และการทำเด็กหลอดแก้ว
- ห้องปฏิบัติการวิจัยของสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัยและพัฒนาของภาครัฐและเอกชน
- โรงงานอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เช่น การผลิตเบียร์ ไวน์และแอลกอฮอล์ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
- การติดต่อ
อังคาร จารุจารีต
ผู้ช่วยนักวิจัย
ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2322
ความเชี่ยวชาญ
digital image processing and analysis, Biometrics, and digital holography
Vol24.copyCat
ฉบ้บที่ 24 เดือนมกราคม 2557
ตรวจสอบการคัดเลือกผลงานทางวิชาการและวิทยานิพนธ์ด้วย copycat
ปัจจุบันเอกสารถูกเปลี่ยนแปลงอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ส่งผลให้ง่ายต่อการคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตัวเองโดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณ ในต่างประเทศถือว่าผิดกฎหมายสามารถถูกฟ้องร้องได้ การโจรกรรมทางวรรณกรรม (Plagiarism) จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่พบในแวดวงการศึกษาวิชาการในประเทศไทยที่เกิดขึ้นมานานแล้วและยังพบเห็นได้อยู่เสมอ ทั้งในระดับนักวิจัย ครู อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษา เป็นปัญหาที่บุคคลในวงวิชาการต้องตระหนักและเร่งแก้ไขปัญหา
การตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการ
ถือเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและความละเอียดของผู้ตรวจเป็นอย่างมาก
โดยปกติจะใช้วิธีการตรวจสอบการคัดลอกด้วยมือ
ผู้ตรวจจะต้องทำการอ่านซ้ำวนไปวนมาในแต่ละเอกสารที่ต้องการตรวจสอบ
แล้วเลือกประโยคที่คิดว่าน่าสงสัยมาตรวจสอบโดยผ่านเครื่องมือสืบค้น
(Search
Engine) หรือไปที่ห้องสมุด
ซึ่งวิธีการนี้ต้องใช้ประสบการณ์ของผู้ตรวจมากและบางประโยคอาจหลุดการนำมาตรวจสอบ
อีกทั้งแหล่งข้อมูลยังไม่ครอบคลุม
จำนวนเอกสารก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกปี
เพราะฉะนั้นเครื่องมือตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการจึงเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับช่วยผู้ตรวจในการหาแหล่งที่มาของเอกสารว่าคัดลอกมาจากแหล่งใด
ปัจจุบันเครื่องมือตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานทางวิชาการในต่างประเทศที่ได้รับความนิยม
เช่น Turnitin
(อ่านว่า
เทิร์น-อิท-อิน)
เป็นเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบการคัดลอกงานเขียนจากฐานข้อมูลหลายแหล่ง
เช่น เว็บไซต์ บทความตีพิมพ์
วารสาร นิตยสาร เป็นต้น
มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่ใช้
ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น
อย่างไรก็ตามยังมีข้อผิดพลาดในด้านการตรวจสอบเอกสารภาษาไทย
ที่มักมีปัญหาเรื่องสระและวรรณยุกต์
หน่วยปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีเสียง
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
จึงได้วิจัยและพัฒนาระบบตรวจสอบลิขสิทธิ์ผลงานวิชาการและวิทยานิพนธ์
ที่เรียกว่า ก๊อปปี้แคท
(CopyCat:
Copyright, Academic Work and Thesis Checking System)
CopyCat เป็นระบบตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ เช่น วิทยานิพนธ์ ข้อเสนอโครงการ ผลงานวิชาการ เว็บเพจ เป็นต้น สนับสนุนการตรวจสอบความคล้ายของเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยสามารถตรวจสอบกับเอกสารที่จัดเก็บไว้ในคลังข้อมูลหรือเอกสารออนไลน์บนอินเทอร์เน็ต และแสดงผลเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ความคล้ายกันของเอกสาร พร้อมทั้งระบุแหล่งข้อมูลที่พบและทำแถบสีข้อความในส่วนที่คล้ายกัน CopyCat ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบข้อความภาษาไทยได้ดีเมื่อเทียบกับเครื่องมือจากค่ายอื่น โดยเวอร์ชันปัจจุบันคือเวอร์ชัน 2.1
หลักการทำงาน
ผู้ใช้ทำการส่งเอกสารที่ต้องการตรวจสอบการไปยังระบบ
หลังจากนั้นระบบจะทำการวิเคราะห์เอกสารและทำการเทียบความคล้ายกับคลังเอกสารที่เตรียมไว้
ได้แก่ วิกีพีเดีย และคลังเอกสารจำเพาะ
เมื่อทำการวิเคราะห์และเปรียบเทียบเสร็จ
ระบบจะคืนผลลัพธ์ให้กับผู้ใช้โดยแสดงผลเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ความคล้ายกันของเอกสาร
พร้อมทั้งระบุแหล่งข้อมูลที่พบและทำแถบสีข้อความในส่วนที่คล้ายกัน
คุณสมบัติผลิตภัณฑ์
- รองรับการทำงานกับเอกสารหลายรูปแบบ เช่น pdf, doc, docx, odt, txt
- ตรวจสอบเอกสารภาษาไทยและอังกฤษ
- ตรวจสอบเอกสารที่ถูกเปลี่ยนแปลงบางส่วนได้ เช่น ลบคำ เพิ่มคำ หรือการสลับประโยค
- ตรวจสอบกับหน้าเว็บบนอินเทอร์เน็ตได้
- ตรวจสอบเอกสารกับคลังเอกสารจำเพาะได้
- แสดงผลการตรวจสอบเป็นแถบสีข้อความที่คล้ายกันพร้อมทั้งเปอร์เซ็นต์ความคล้าย
จุดเด่น
- ตรวจสอบการคัดลอกผลงานวิชาการและวิทยานิพนธ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
- ตรวจสอบการคัดลอกรวดเร็วและถูกต้อง
ประสิทธิภาพ
แหล่งข้อมูล
|
จำนวนเอกสาร
|
ขนาดคลังข้อมูล
(เมกะไบต์)
|
ขนาดเฉลี่ยของเอกสาร
(กิโลไบต์)
|
ขนาดดัชนี
(เมกะไบต์)
|
เวลาในการประมวลผล
(วินาที/เอกสาร)
|
NSC
Proposal
|
711
|
28.1
|
40.47
|
5.49
|
12.44
|
Thesis-KU
|
194
|
45.8
|
241.74
|
5.27
|
25.81
|
เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา
- การประมวลผลภาษาไทย (Thai Natural Language Processing)
- Word segmentation การแบ่งคำภาษาไทยโดยประยุกต์ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่มีประสิทธิภาพสูง
- การค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval)
- Stop words removal การกำจัดคำที่ไม่มีความหมาย
- Term weighting calculation การคำนวณค่าน้ำหนักของคำ
- การทำเหมืองข้อความ (Text Mining)
- Intelligent text selection technique เทคนิคการเลือกเฉพาะข้อความที่สำคัญอย่างชาญฉลาด เพื่อลดเวลาในการตรวจเอกสาร
- Text similarity calculation การคำนวณความคล้ายกันของข้อความ
กลุ่มเป้าหมาย
- สถาบันการศึกษา
- หน่วยงานให้ทุนวิจัย
- เจ้าของผลงานที่มีลิขสิทธิ์
ประโยชน์
- ใช้งานง่าย ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา
- มีการทำงานในรูปแบบ รับ-ให้บริการ (Client-Server) และพัฒนาเป็นลักษณะเว็บแอปพลิเคชั่น
- ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ครู/อาจารย์ ในการตรวจผลงานของนักศึกษา
- ตรวจสอบผลงานตัวเองว่าถูกผู้อื่นคัดลอกหรือไม่
- ช่วยลดปัญหาในการละเมิดลิขสิทธิ์การคัดลอกเอกสารและช่วยป้องปรามผู้วิจัยไม่ให้มีการคัดลอกผลงานวิจัยของบุคคลอื่นได้
- ป้องกันการกระทำการคัดลอกเอกสารจากนักศึกษาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
- ส่งเสริมให้รู้จักการอ้างอิงแหล่งที่มา
- ปลูกฝังเยาวชนให้มีความซื่อสัตย์
ผลกระทบต่อสังคม
- ด้านการศึกษา เป็นเครื่องมือสำหรับครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษาที่ช่วยลดเวลาในการตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการและวิทยานิพนธ์
- ด้านวัฒนธรรมและจริยธรรม ช่วยสร้างความตระหนักในการอ้างอิงแหล่งที่มาและปลูกฝังจิตสำนึกไม่ให้คัดลอกเอกสาร
- ด้านพาณิชย์/สาธารณประโยชน์
- สามารถขยายผลให้หน่วยงานผู้ให้ทุนใช้ตรวจสอบเอกสารขอทุนวิจัยซ้ำซ้อน
- เป็นทางเลือกการใช้ซอฟต์แวร์ตรวจสอบความคล้ายกันของเอกสารเมื่อเทียบกับการใช้ซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ
งานที่จะพัฒนาในอนาคต
- เพิ่มประสิทธิภาพระบบ
- เพิ่มความสามารถการตรวจสอบในกรณีที่ผู้เขียนหลีกเลี่ยงการตรวจจับโดยการถอดความ/การกล่าวซ้ำหรือการสรุปสาระสำคัญ
- ตรวจสอบข้อมูลที่เป็นรูปแบบสื่อประสม (Multimedia)
- สร้าง Crawler และเพิ่มแหล่งข้อมูลในการตรวจสอบ
- เลือกที่จะตรวจสอบข้อความที่อยู่ภายในเครื่องอัญประกาศ (Quotation mark("...")) ด้วยหรือไม่
- กำหนดประโยคหรือสำนวนที่ใช้ทั่วไปไม่ต้องนำมาตรวจสอบ (Phrase Exclusion)
- Integrate เข้ากับสื่อการเรียนรู้ออนไลน์
ความคาดหวังต่อผลงานวิจัย คือความต้องการที่จะพัฒนาระบบตรวจสอบการคัดลอกผลงานทางวิชาการอัจฉริยะ (Intelligent Plagiarism Detection System) ให้สามารถตรวจสอบการคัดลอก ได้ทุกรูปแบบและให้สามารถตรวจสอบข้อมูลที่เป็นรูปแบบสื่อประสม (Multimedia) ได้อีก และให้ทุกสถาบันการศึกษาในประเทศไทยนำไปใช้งาน เพื่อให้ตระหนักและปลูกฝังการอ้างอิงแหล่งที่มา และส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงเอกสารระหว่าง สถาบันการศึกษาเพื่อให้ระบบสามารถตรวจสอบการคัดลอกเอกสารข้ามสถาบันการศึกษาได้
การติดต่อ
สันติพงษ์ ไทยประยูร
ผู้ช่วยนักวิจัย
ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีเสียง หน่วยวิจัยวิทยาการสารสนเทศ
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2281
ความเชี่ยวชาญของนักวิจัย
- ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System)
- การทำเหมืองข้อความ (Text Mining)
- การค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval)
- การตรวจสอบการคัดลอก (Plagiarism Detection)
สันติพงษ์ ไทยประยูร
ผู้ช่วยนักวิจัย
ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีเสียง หน่วยวิจัยวิทยาการสารสนเทศ
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2281
ความเชี่ยวชาญของนักวิจัย
- ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System)
- การทำเหมืองข้อความ (Text Mining)
- การค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval)
- การตรวจสอบการคัดลอก (Plagiarism Detection)
Vol22.Saiwat
ฉบับที่ 22 เดือนพฤศจิกายน 2556
SAIWAT โปรแกรมการวัดขนาดอาหารสัตว์น้ำ

คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
- วัดอาหารสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็ก ยากต่อการวัดด้วยมือ
- วัดอาหารเม็ดได้พร้อมกัน 100-800 เม็ด โดยขึ้นอยู่กับขนาดของอาหารเม็ด
- ทำงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ ได้
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์
- ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างสแกนเนอร์ ซึ่งหาซื้อทดแทนได้ง่าย
- การใช้งานเป็นมาตรฐาน
- ใช้งานสะดวกว่าการวัดด้วยเวอร์เนียร์ ไม่ต้องหยิบอาหารสัตว์มาวัดทีละเม็ด แต่เทใส่ถาดที่เตรียมไว้เพื่อสแกนภาพและวัดด้วยโปรแกรมได้ทันที
- ประมวลผลได้รวดเร็วกว่าใช้คนวัดด้วยมือหลายเท่า โดยใช้เวลาเพียง 2-3 นาที
- ผลการวัดไม่ขึ้นอยู่ความแม่นยำของผู้วัด
กลุ่มผู้ใช้งาน
บริษัทเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์
สอบถามข้อมูล
รุ่งกานต์ ศิริเจริญไชย
ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีภาพ
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
E-mail: rungkarn.siricharoenchai@nectec.or.th
โทร.0-2564-6900 ต่อ 2251
Vol25.AlfaToxin
ฉบับที่
25
กุมภาพันธ์
2557
ตรวจ
“อะฟลาท็อกซิน” แค่ 10
วินาที
“อะฟลาท็อกซิน” (Aflatoxin) สารพิษจากเชื้อราที่พบในเมล็ดพันธุ์พืช มักจะพบในพืชตระกูลถั่วที่มีเมล็ดฝังอยู่ในดิน รวมถึงพริกแห้งและหัวหอม สารพิษดังกล่าวเชื่อมโยงกับการเป็นมะเร็งตับ อีกทั้งการใช้ความร้อนสูงในการปรุงอาหารก็ไม่สามารถทำลายสารพิษนี้ลงได้ ความเป็นอันตรายถึงสารพิษที่ปนเปื้อนมาในวัตถุดิบประกอบอาหารนี้ ทำให้องค์การอนามัยโลกกำหนดให้ในอาหารมีสารพิษนี้เปื้อนในอาหารได้ไม่เกิน 20 ppb แต่ในทางปฏิบัติไม่ควรมีสารพิษนี้อยู่เลย
แรงบันดาลใจในการทำเครื่องที่ใช้ตรวจสารอะฟลาท็อกซิน
มาจากการกีดกันทางการค้าจากประเทศเกี่ยวกับการห้ามนำเข้าสินค้าที่มีสารอะฟลาทอกซิน
นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการวิจัยนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค/เนคเทค
จึงอยากพัฒนาเครื่องตรวจสารที่มีราคาแพงประมาณ
2
ล้านบาท
และใช้เวลาตรวจนานถึง 7-8
ชั่วโมง
ซึ่งไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารที่ต้องตรวจหาสารพิษนี้
และในรายที่ไม่มีเครื่องตรวจแล้วต้อส่งตรวจตามห้องปฏิบัติการต่างๆ
อาจต้องรอตรวจตัวอย่างนานเป็นสัปดาห์
การพัฒนาวิธีใหม่ที่สามารถตรวจอะฟลาท็อกซินได้ในเวลาเพียง
10
วินาที
จึงเกิดขึ้น
วิธีการของเครื่องตรวจอะฟลาท็อกซินแบบเดิมจะแสดงแถบสีที่ต้องนำไปเทียบกับตาราง
อีกครั้ง
ทีมพัฒนาจึงออกแบบเครื่องตรวจที่แสดงผลเป็นตัวเลข
โดยอาศัยหลักการวัดค่าปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า
ซึ่งเป็นหลักการใหม่ในการตรวจหาสารพิษใช้วัสดุแห่งอนาคตอย่าง
“กราฟีน”
โดยนำนาโนกราฟีนไปผลิตเป็นเซ็นเซอร์สำหรับตรวจวัดค่าปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้า
ทำให้ใช้เวลาในการตรวจรวดเร็วไม่กี่วินาที
แต่มีความแม่นยำถึง 98%
ขณะที่ต้นทุนของเครื่องตรวจไม่ถึงแสนบาท
เครื่องตรวจวัดอะฟลาท็อกซินที่พัฒนาขึ้นมานี้อาศัยหลักการ
วัดค่าปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าที่หัววัด
ซึ่งหัววัดดังกล่าวเคลือบสารพิเศษที่ทำปฏิกิริยาเฉพาะอะฟลาท็อกซิน
และพิมพ์วงจรด้วยนาโนกราฟีนซึ่งเป็นคาร์บอนรูปแบบหนึ่ง
จากนั้นเครื่องตรวจวัดจะอ่านค่าปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าที่เกิดขึ้น
และแสดงผลที่หน้าจอว่ามีสารพิษจากเชื้อรานี้กี่
ppb
“ผู้ประกอบการอาหารสามารถใช้เครื่องตรวจวัดอะฟลาท็อกซินนี้แทนเครื่องตรวจทั่วไปที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศในราคานับล้านบาทได้ โดยวิธีการใช้เพียงนำตัวอย่างที่ต้องการบดมาผสมสารเคมีที่กำหนดให้ จนได้สารละลายแล้วนำไปลงหยดลงหัววัด ซึ่งกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง และเมื่อหยดสารละลายลงหัววัดแล้วเครื่องตรวจจะใช้เวลาเพียง 10 วินาทีเพื่อแสดงผล แล้วเปลี่ยนหัววัดเพื่อทดสอบตัวอย่างอื่นได้อย่างต่อเนื่อง โดยค่าใช้จ่ายในการทดสอบถูกกว่าแบบเดิม”
เครื่องตรวจวัดอะฟลาท็อกซิน
เป็นความร่วมมือระหว่างเนคเทค
/หน่วยวิจัยเเพื่อความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง
ไบโอเทค และ มหาวิทยาลัยมหิดล
โดยใช้เทคนิค PCR
(Polymerase Chain Reaction)
ซึ่งเป็นวิธีการตรวจเดียวกับการตรวจไวรัสในกุ้ง
(LAMP)
ใช้เทคนิคการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมแบบใหม่ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า เมื่อสาธิตให้เห็นว่าสามารถตรวจดีเอ็นเอหรือสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสได้
ทางภาคเอกชนจึงให้ความเห็นว่า
น่าจะตรวจวัดสารอะฟลาท็อกซินได้เช่นกัน
ทีมวิจัยได้ใช้หลักการวัดปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าที่ให้ไฟฟ้าขนาดเล็กในระดับไมโครแอมแปร์ แต่เนื่องจากปฏิกิริยาระหว่างหัววัดและสารอะฟลาท็อกซินให้ไฟฟ้าในระดับไม่ถึงไมโครแอมป์ เทคนิค LAMP ของทางไบโอเทคจึงมีความจำเป็นเพื่อใช้ขยายปริมาณดีเอ็นเอของเชื้อราให้เยอะขึ้น แล้วผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาเยอะขึ้น นอกจากนี้ยังใช้กราฟีนซึ่งเป็นวัสดุพิเศษทำเป็นหัววัด ทำให้การวัดกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กทำได้ดีขึ้น
ตอนนี้ทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ภาคเอกชนที่สนใจลงทุนผลิตเครื่องตรวจวัดอะฟลาท็อกซินดังกล่าว
เพื่อจำหน่ายแก่ผู้ประกอบการอาหารทุกประเภทที่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์พืช
ซึ่งหลังจากเปิดตัวให้ภาคเอกชนได้รู้จักเครื่องตรวจอะฟลาท็อกซิน
ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากภาคเอกชนเป็นอย่างมาก
และได้บริษัทเอกชนของคนไทยที่พร้อมรับการถ่ายเทคโนโลยีแล้ว
ซึ่งเหลือเพียงการเจรจาในเรื่องรายละเอียด
ส่วนสัญญาในการถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้นเป็นแบบ
non-exclusive
เอกชนรายอื่นที่สนใจจึงยังติดต่อขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอีกได้ไม่จำกัด
สอบถามข้อมูล
วัฒณสิทธิ์
พิมเพา
ห้องปฏิบัติการวิจัยนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค
และ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและถ่ายทอดเทคโนโลยี
โทรศัพท์
0 2564
6900
โทรสาร
0 2564
6877
e-mail
: btt@nnet.nectec.or.th
Vol26.Inverter
ฉบับที่ 26 เดือนมีนาคม 2557
เทคโนโลยีสูบน้ำแบบประหยัดด้วย Solar Pump Inverter
เทคโนโลยีสูบน้ำแบบประหยัดด้วย Solar Pump Inverter เป็นต้นแบบอินเวอเตอร์ขับปั๊มน้ำแบบขับเคลื่อนด้วยอินดักชั่นมอเตอร์แบบ PSC 220Vac เฟสเดี่ยว ซึ่งเป็นผลงานของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ โดยห้องปฏิบัติการวิจัยต้นแบบและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม วิจัยและพัฒนาขึ้น มีขนาดกำลัง 0.5 – 3 แรงม้า ที่รับไฟฟ้าจากแผงโซล่าเซลล์ขนาดกำลัง 280W แรงดันเปิดวงจร 44.5VDC ตั้งแต่ 2 – 10 แผง ต่อแบบอนุกรมกัน โดยมีระบบการจัดการพลังงานอัตโนมัติแบบ MPPT พร้อมระบบป้องกันมอเตอร์และอินเวอเตอร์ ระบบป้องกันความเสียหายจากฟ้าผ่า มาตรฐานกันฝุ่นกันน้ำ (IP55)
ข้อจำกัดของอินเวอเตอร์ทั่วไป
1. ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อต้องรับแรงดันที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามความเข้มของแสงอาทิตย์ที่ไม่แน่นอน
2. แรงดันสูง 270-350 VDC ทำให้ต้องใช้จำนวนแผงโซล่าเซลล์มากเกินความจำเป็น
จุดเด่นของอินเวอเตอร์ที่พัฒนาขึ้น
- มีวงจรปรับเร่งแรงดัน (Energy extraction) ร่วมกับอัลกอริทึมการหาจุดที่มีพลังงานสูงสุด (Advanced MPPT) จึงทำให้ประสิทธิภาพการแปลงพลังงานแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดในทุกช่วงแสงของวัน
- รองรับจำนวนแผงโซล่าเซลล์ได้ตั้งแต่ 2-10 แผง (ขึ้นกับขนาดมอเตอร์ปั๊มน้ำ) โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชุดอินเวอเตอร์
- ครอบคลุมการใช้งานกับมอเตอร์ 1-2-3 เฟส
- ขับอินดักชั่นมอเตอร์แบบ PSC 220VAC ขนาดกำลัง 0.5-3 แรงม้า ที่มีให้เลือกใช้งานในท้องตลาดได้หลายรุ่น/ขนาด/กำลังขับ
- ไม่มีแบตเตอรี่ในระบบ จึงไม่เสียค่าบำรุงรักษาแบตเตอรี่
- ไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ จึงไม่เสียค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
- ออกแบบตามมาตรฐานป้องกันความเสียหายจากฟ้าผ่า IEC-61000-4-5
- ออกแบบตามมาตรฐานกันฝุ่นกันน้ำ IP-55
การนำไปใช้ประโยชน์
ได้นำไปทดสอบประสิทธิภาพระดับภาคสนาม ใน “โครงการทำนา 1 ไร่ ได้เงิน 1 แสนบาท” ซึ่งเป็นเป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมีความร่วมมือกับหอการค้าไทย ในการทดลองนำระบบอินเวอเตอร์ไปใช้ทดแทนระบบปั๊มน้ำแบบที่เคยใช้กันอยู่ทั่วไป เช่นแบบ DC, AC และแบบที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้เกิดประสิทธิภาพ การประหยัดพลังงาน และประหยัดค่าใช้จ่าย โดยคิดพื้นที่ 10 ไร่ ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 350 ลิตรต่อปี
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
ได้รับการคุ้มครองภายใต้สิทธิบัตรคำขอเลขที่ 1201005105
การติดต่อ
สุทัศน์ ปฐมนุพงศ์
ห้องปฏิบัติการวิจัยต้นแบบและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2549
ความเชี่ยวชาญของนักวิจัย
System Design
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)