36.JAN. Irrigation Valve


ฉบับที่ 36 เดือนมกราคม 2558

Irrigation Valve
โปรแกรมตั้งค่ารดน้ำต้นไม้


เครื่องรดน้ำอัตโนมัติที่ขายอยู่ในท้องตลาดนั้น มักจะมีข้อจำกัดสำหรับส่วนติดต่อกับผู้ใช้เนื่องจากขนาดของหน่วยความจำ และต้นทุน  ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาขายมีหน้าจอแสดงการตั้งค่าต่างๆ เล็กไป มีปุ่มให้กดเยอะไปบ้างเกิน น้อยไปบ้าง ทำให้ผู้ใช้เกิดความยุ่งยากในการตั้งค่าการใช้งาน ทีมพัฒนาจึงมีแนวคิดในการทำโปรแกรมตั้งค่ารดน้ำต้นไม้ หรือ Irrigation Valve บนสมาร์ตโฟน  ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่มีความคุ้นเคย และเพื่อลดความยุ่งยากในการใช้งาน  ทำให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าใช้งานและควบคุมการทำงานได้อย่างง่ายดาย  
โปรแกรมตั้งค่ารดน้ำต้นไม้ เป็นโมบายล์แอปพลิเคชั่นบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ทำหน้าที่เป็นส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) กับกล่องควบคุมวาล์ว ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นกล่องที่สามารถต่อควบคุมวาล์วได้ 4 ตัว แยกอิสระต่อกัน โดยจะเปิด/ปิดวาล์วแต่ละตัวตามเวลาที่ตั้งไว้  นอกจากนี้ยังสามารถต่อเซ็นเซอร์วัดความชื้นดินแเละเซ็นเซอร์วัดปริมาณน้ำฝนเพื่อช่วยในการตัดสินใจรดน้ำได้อีกด้วย

คุณสมบัติระบบ Irrigation Valve
  1. ตั้งค่าการรดน้ำได้ 3 รูปแบบ (ในขณะนี้) คือ รดน้ำทุกวัน เลือกวันในสัปดาห์ และแบบวันเว้นวัน 
  2. เลือกที่จะใช้เซ็นเซอร์วัดความชื้นดินหรือเซ็นเซอร์วัดปริมาณน้ำฝนเพื่อช่วยพิจารณาว่าต้องรดน้ำหรือไม่ 
  3. กล่องควบคุมวาล์วนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ 9 วัตต์
  4. สามารถสั่งงานได้จากสมาร์ตโฟน
อุปกรณ์การติดตั้งระบบรดน้ำต้นไม้ ควรติดตั้งท่อส่งน้ำให้เรียบร้อย และนำกล่องควบคุมไปติดบริเวณที่ต้องการ โดยวาล์วไฟฟ้า (โซลินอยด์วาล์ว)  สามาถติดตั้งห่างจากกล่องควบคุมได้ไม่เกิน 5 เมตร เนื่องจากสัญญาณควบคุมการเปิด/ปิดวาล์วน้ำจะทำงานที่ระดับแรงดันประมาณ 7V DC
หลักการทำงานโปรแกรม
โปรแกรมจะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วน คือ โปรแกรมที่ทำงานบนสมาร์ตโฟน หรือแท็บเล็ต ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.3 ขึ้นไป รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth ซึ่งโปรแกรมนี้จะทำงานร่วมกับกล่องควบคุมวาล์ว ผู้ใช้สามารถใช้เซ็นเซอร์วัดความชื้นดินและ/หรือเซ็นเซอร์วัดปริมาณน้ำฝนเป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยในการตัดสินใจรดน้ำต้นไม้ได้
กล่องควบคุมวาล์ว ทำงานอย่างไร
โปรแกรมตั้งค่ารดน้ำต้นไม้หรือ Irrigation Valve จะมีหน้าจอให้ผู้ใช้เลือกชนิดของการรดน้ำ ตั้งช่วงเวลาและวาล์วต่างๆ ที่ต้องการจะรดน้ำในแต่ละวัน แล้วเก็บไว้ที่ฐานข้อมูลในเครื่องโทรศัพท์ 
เมื่อผู้ใช้ต้องการจะติดต่อกับกล่องควบคุมวาล์ว ผู้ใช้จะต้องเคาะกล่องเพื่อปลุกให้กล่องตื่นขึ้นมาเปิดสัญญาณ Bluetooth เพื่อให้โปรแกรมตั้งค่าสามารถติดต่อได้ (โดยปกติแล้วกล่องควบคุมวาล์วจะอยู่ในโหมดนอนหลับหรือ Sleep Mode ตลอดเวลา และจะตื่นขึ้นมาทำงานเมื่อถึงเวลาเปิด/ปิดวาล์วเพื่อประหยัดพลังงาน  แต่ถ้ามีการเคาะกล่องควบคุม กล่องจะตื่นขึ้นมาเปิดสัญญาณ Bluetooth เพื่อรองรับการเชื่อมต่อ ถ้าภายในเวลา 30 วินาที ไม่มีการการเชื่อมต่อจากสมาร์ตโฟน กล่องควบคุมจะเข้าสู่โหมดการนอนหลับอีกครั้ง) 

โปรแกรมเชื่อมต่อ Bluetooth กับกล่องควบคุมวาล์ว
เมื่อมีการเชื่อมต่อทั้งสองอุปกรณ์เข้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว 
  • โปรแกรมตั้งค่ารดน้ำต้นไม้จะอ่านค่าสถานะของวาล์วแต่ละตัวและสถานะของระบบรดน้ำอัตโนมัติแล้วนำมาแสดงบนหน้าจอ
  • ผู้ใช้สามารถส่งค่าตารางเวลาที่ตั้งไว้แล้วไปเก็บไว้ในหน่วยความจำของกล่องควบคุมวาล์ว และสามารถเรียกข้อมูลที่ตั้งไว้กลับมาดูได้ภายหลัง
  • ผู้ใช้สามารถสั่งเปิด/ปิดวาล์วทั้ง 4 ตัวได้ เพื่อทดสอบว่า วาล์วสามารถทำงานได้เป็นปกติหรือไม่ เมื่อมีการสั่งให้เริ่มการทำงานระบบรดน้ำอัตโนมัติจะเริ่มทำงานทันที  และกล่องควบคุมวาล์วจะตัดการเชื่อมต่อ บลูทูธออกไป  ซึ่งผู้ใช้จะสามารถสังเกตได้จากหน้าจอและที่กล่องควบคุมจะมีเสียงดังปี๊บ เพื่อแจ้งว่าได้ปิดการเชื่อมต่อแล้ว (หมายเหตุ  หลังจากการส่งค่าตั้งเวลา หรือ มีการสั่งเปิด/ปิดวาล์วลงในกล่องควบคุมวาล์ว เรียบร้อยแล้ว ระบบรดน้ำอัตโนมัติจะหยุดทำงาน  ให้ผู้ใช้ควรกดสั่งให้เริ่มการรดน้ำอัตโนมัติอีกครั้ง ก่อนที่จะเลิกการเชื่อมต่อ Bluetooth กับกล่องควบคุมวาล์ว)

ระบบรดน้ำอัตโนมัติที่มีขายอยู่ในท้องตลาดต่างก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน  ระบบรดน้ำต้นไม้ที่ทางทีมวิจัยได้ พัฒนาขึ้นมานั้นจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถการตั้งค่าต่างๆ และปรับเปลี่ยนสำหรับการรดน้ำต้นไม้ได้อย่างสะดวกสบายบน Smart Phone ของผู้ใช้เอง และตัวระบบควบคุมการรดน้ำเองก็ติดตั้งง่าย ไม่ต้องกลัวไฟดูดเพราะใช้พลังงานน้อยไม่สิ้นเปลือง
การติดต่อสอบถาม
ธนิกา ดวงธนู
ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว 
โทรศัพท์ 02 564-6900 ต่อ 2556

35.dec57.TWI-VIS

ฉบับที่ 35 เดือนธันวาคม 2557


เปลี่ยนกล้องมือถือให้เป็นกล้องจุลทรรศน์ด้วย TWI-VIS

 การพัฒนากล้องมือถือที่อยู่บนอุปกรณ์อย่างสมาร์ตโฟนและแท็บเล็บที่มีใช้กันอย่างแพร่หลาย ให้เป็นกล้องจุลทรรศน์ที่พกพาได้ ถือได้ว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ของเลนส์ ซึ่งนักวิจัยเนคเทค นำอุปกรณ์ทั้งสองอย่างรวมเข้าด้วยกัน โดยคำนึงถึงความต้องการในการใช้งานของห้องปฏิบัติการวิจัยในการใช้งานกล้องจุลทรรศน์ และใช้ความเชี่ยวชาญที่ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์พัฒนาระบวนการทำเลนส์ที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือราคาแพง ให้สามารถใช้งานได้ดี ควบคุมกำลังขยายและขนาดของเลนส์ได้ด้วยวิธีการทำที่เป็นสิทธิบัตรของเรา

รู้จักกับ TWI-VIS
ทะ-วิ-วิส มาจาก Twice Vision ซึ่งหมายถึง สองการมองเห็น เพราะมีสองเลนส์ เราจึงเรียกสั้นๆ ว่า Twi-VIS หรือ ทวิทรรศน์ เลนส์ทวิทรรศน์ เป็นต้นแบบระดับห้องปฏิบัติการ (Lab prototype) ของห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์ เป็นงานวิจัยที่มีการขอจดสิทธิการประดิษฐ์ ในสองกระบวนการ “กระบวนการผลิตเลนส์แบบยืดหยุ่นจากวัสดุพอลิเมอร์” หมายเลขคำขอ1401005905 และ “กระบวนการผลิตเลนส์โดยอาศัยแรงตึงผิวที่ชั้นรอยต่อของของเหลว" หมายเลขคำขอ1401005695

คุณสมบัติเด่น
  • มีการออกแบบโดยคำนึงถึงการหยิบจับตัวเลนส์สะดวกโดยไม่ต้องสัมผัสเลนส์
  • มีผิวเรียบสามารถแนบสนิทไปกับวัตถุที่นำไปติด
  • น้ำหนักเบา
  • ใช้งานง่ายและทำความสะอาดได้ง่าย
  • มีสองกำลังขยาย 50 เท่า และ 100 เท่า (กำลังขยายสามารถกำหนดได้จากวิธีการผลิตของเรา)
เลนส์ทวิทรรศน์ เป็นนวัตกรรมการทำเลนส์ด้วยคุณสมบัติเฉพาะ ได้รับการออกแบบให้มีสองกำลังขยาย ด้วยการใช้งานที่ไม่ต้องสัมผัสกับเลนส์โดยตรง เพียงจับที่จับเลนส์ด้วยมือสะอาด แล้วเลือกกำลังขยายที่ต้องการ แตะที่หน้ากล้องและฐานของเลนส์เล็กน้อยเพื่อให้แนบสนิทกับตัวกล้อง เลนส์ทวิทรรศน์ก็สามารถใช้งานกับสมาร์ตโฟน แท็บเล็ตได้เกือบทุกชนิดที่มีผิวสัมผัสเรียบ

สนับสนุน “งานวิจัยใช้ได้จริง”
เริ่มต้นการทำ campaign ด้วยการนำร่องหาทุนวิจัยแนวใหม่ เราได้ใช้ช่องทาง crowdfunding ในการสำรวจตลาดและความต้องการของผู้ใช้ โดยให้ผู้ใช้สนับสนุนเงินวิจัยและจะได้รับงานวิจัยต้นแบบ (prototype) ไปทดลองใช้เป็นกลุ่มแรก และเมื่อได้รับ feedback กลับมาก็จะนำสิ่งที่ได้รับมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่อไป การหาทุนวิจัยโดยเปิดแคมเปญระดมทุนผ่านอินเทอร์เน็ตนี้ จะช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของตลาดมากขึ้น สนับสนุนนโยบาย “งานวิจัยใช้ได้จริง"


ความคาดหวังต่อ TWI-VIS
อยากเห็นความต้องการจากผู้ใช้ในวงกว้างทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อที่ผู้พัฒนาจะได้นำไปพัฒนาเครื่องสร้างเลนส์อัตโนมัติด้วยกระบวนการ ผลิตที่เรามี และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ผู้สนใจต่อไป 


การติดต่อ
ดร.อัชฌา กอบวิทยา
นักวิจัย ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์
อีเมล์ : atcha.kopwitthaya@nectec.or.th
โทร. 02-564-6900 ต่อ 2104

34.TAMIS

ฉบับที่ 34 เดือนพฤศจิกายน 2557


ทามิส ระบบสารสนเทศเพื่อการเกษตรไทย



Thailand Argiculture Mobilie Information System (ทามิส) เป็นระบบสารสนเทศเพื่อการเกษตรไทยแบบพกพา ใช้อุปกรณ์แท็บเล็ตแอนดรอยด์แบบพกพา ร่วมกับการทำงานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้การประมวลผลแบบคลาวด์คอมพิวติ้ง  ในการจัดเก็บและบันทึกข้อมูลการเกษตรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้เก็บและส่งข้อมูลอย่างรวดเร็ว

 
ทามิส มีการใช้งานที่ไม่ยุ่งยาก เริ่มต้นด้วยการลงทะเบียนเกษตรกรด้วยบัตรประชาชนที่เป็นสมาร์ตการ์ด เก็บพิกัดแปลงเพาะปลูกด้วยเทคโนโลยีระบุพิกัดตำแหน่ง (GPS) บนแผนที่กูเกิล (Google map) ด้วยแท็บเลตระบบแอนดรอยด์ ซึ่งระบบยังสามารถตรวจประเมินแหล่งผลิตตามมาตรฐานพืช GAP (Good Agricultural Practices) โดยระบบออกแบบให้สามารถใช้งานโหมดออฟไลน์ในจุดที่ไม่สัญญาณ อินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์ และสามารถออนไลน์ได้ทุกสถานที่ เกษตรกรไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาเดินทาง ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ในการให้บริการของรัฐแบบเคลื่อนที่ทำให้ได้ ข้อมูล ถูกต้อง แม่นยำ โปรงใส น่าเชื่อถือ สะดวก รวดเร็ว พร้อมรวบรวม สรุป และออกใบรับรองอย่างเป็นระบบ

จุดเด่น
 
1.ใช้บัตรประชาชนสมาร์ตการ์ด ลงทะเบียนเกษตรกร 
    ทำให้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง น่าเชื่อถือ
2. ทำงานในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ ในทุกพื้นที่
3. มีการส่งข้อมูลอัตโนมัติ รวดเร็ว เมื่อระบบออนไลน์ได้
   จากการใช้ระบบประมวลผลแบบคลาวด์คอมพิวติ้ง

ประโยชน์
 
1. สามารถนำข้อมูลไปใช้ในเชิงบริหารจัดการพื้นที่ได้อย่างครอบคลุม โดยใช้ในวิเคราะห์ สังเคราะห์ ด้วยหลักเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์เพื่อทำเป็นคลังข้อมูล
2.เพื่อนำข้อมูลทางด้านการเกษตรออกไปใช้ ให้บริการมีความผิดพลาดน้อยลง และเป็นมาตรฐานในการยกระดับระบบการเกษตรในประเทศ

ผู้ใช้ประโยชน์
 
กรมการข้าว กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร บริษัทเอกชนที่ทำงานด้านการตรวจประเมินคุณภาพทางการเกษตร


การติดต่อนักวิจัย
วัชรากร หนูทอง
watcharakon.noothong@nectec.or.th
ห้องปฏิบัติการวิจัยโพรโตคอลและเครือข่ายไร้สาย 
หน่วยวิจัยเทคโนโลยีไร้สายข้อมูลความมั่นคงและนวัตกรรมอิเล็กทรอนิกส์
เพื่ออนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม

33.NetHAM.nanoOCT57


ฉบับที่ 33 เดือนตุลาคม 2557

NetHAM nano สายลับจับเน็ตล่ม


NetHAM nano นวัตกรรมบริการที่ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปสามารถตรวจสอบสุขภาพเครือข่ายได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และโปรแกรมใดๆ ด้วยการปฏิบัติงานบนระบบคลาวด์ (cloud) 

จุดเด่นของ NetHAM nano

ความสามารถในการตรวจสอบระบบได้จากหลายจุดพร้อมกัน และสามารถขยายตัวได้ไม่สิ้นสุด โดยมีความเสถียรและความพร้อมในการใช้งานสูง นอกจากระบบยังถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้บริการ NetHAM nano สามารถให้บริการที่นอกเหนือจากการดูแลอุปกรณ์เครือข่ายปกติไปสู่การดูแลอุปกรณ์หรือบริการเฉพาะทาง สอดรับกับเทคโนโลยี internet of things ในอนาคต
   
NetHAM nano สร้างความแตกต่างจากระบบการเฝ้าระวังทั่วไป ด้วยการออกแบบระบบในรูปแบบของ software-as-a-service ที่ทำงานแบบคลาวด์อย่างแท้จริง รองรับการตรวจสอบจากหลายจุด (distributed monitoring) ได้ทั้ง public network และ private network ในขณะที่บริการเฝ้าระวังอื่นๆ ตรวจสอบได้เฉพาะบริการพื้นฐานที่เข้าถึงได้แบบสาธารณะเท่านั้น ไม่สามารถใช้กับเซิร์ฟเวอร์ภายใน private network ขององค์กรได้ ทั้งนี้การพัฒนา NetHAM nano มีความท้าทายในส่วนของการออกแบบสถาปัตยกรรมระบบที่เป็นคลาวด์อย่างแท้จริงนั่นคือต้องสามารถขยายตัวได้อย่างอัตโนมัติ สามารถดูแลและซ่อมแซมตัวเองได้อัตโนมัติเมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดในระบบมีปัญหา (self-healing, self-recovery) โดยไม่ต้องพึ่งผู้ดูแลระบบ การบริหารจัดการระบบเป็นแบบ plug-and-play แบบที่ไม่ต้องมีการปรับแต่ง

การพัฒนา NetHAM ให้อยู่ในรูปแบบ Software-as-a-Service (SaaS) จะช่วยลดปัญหาต่างๆ ลงได้ การพัฒนาซอฟต์แวร์ NetHAM ให้อยู่ในรูปแบบ SaaS หมายความว่า มองซอฟต์แวร์ NetHAM ให้เป็นบริการที่ผู้ใช้สามารถใช้บริการผ่านเครือข่ายได้ ผู้ใช้ที่ต้องการใช้บริการดูแลอุปกรณ์ภายในระบบเครือข่ายของตน จะเรียกใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์โดยไม่ต้องทราบว่าบริการนี้ติดตั้งไว้ที่ใด ผู้ดูแลระบบไม่จำเป็นดาวน์โหลดซอฟต์แวร์มาติดตั้งและดูแลเอง ไม่จำเป็นต้องมีเซิร์ฟเวอร์เป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและภาระการดูแลรักษา โดยที่ผู้ใช้จะได้รับบริการที่ดีที่สุดอยู่เสมอ เนื่องจากทางผู้ให้บริการจะเป็นดูแล update version หรือแก้ปัญหาต่างๆ ให้ การพัฒนาซอฟต์แวร์ NetHAM ให้เป็น SaaS นั้น โครงสร้างการทำงานและสถาปัตยกรรมของ NetHAM จะต้องถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อให้ติดตั้งและทำงานบน cloud Infrastructure ได้ หน้าที่การทำงานต่างๆ ที่คาดว่าจะเป็นคอขวด เช่น ฐานข้อมูลต้องถูกแยกส่วนให้ทำงานอิสระจากกันเพื่อให้รองรับการขยายตัวได้แบบ scale out และเพื่อป้องกันปัญหา single point of failure ทุกหน้าที่การทำงานต้องมีส่วน backup หรือมีกลุ่มของ cluster ที่สามารถทำงานทดแทนกันได้เมื่อส่วนหนึ่งส่วนใดในระบบมีปัญหา

ผู้ใช้ประโยชน์


NetHAM nano ได้ถูกติดตั้งเพื่อดูแลเครือข่ายภายใต้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการส่งต่อผู้ป่วย (e-Referral healthcare system) สำหรับหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เดือน มิถุนายน 2557 ถึงปัจจุบัน

สิทธิการประดิษฐ์

เลขที่คำขอ 1201003186 “วิธีการอนุมานผังการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่สนใจโดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปริมาณข้อมูล”

อนุสิทธิบัตร เลขที่คำขอ 1403001254 “อุปกรณ์ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้และจัดเก็บข้อมูลดังกล่าว”

การติดต่อ
ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์
ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีเครือข่าย
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ

รายละเอียดเพิ่มเติม  http://inms.in.th/portal/

32.SepPHR

ฉบับที่ 32 เดือนกันยายน 2557


ระบบระเบียนสุขภาพส่วนบุคคล 
Personal Health Record : PHR

PHR เป็นการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สนับสนุนงานบริการระบบสุขภาพส่วนบุคคลให้แก่ประชาชน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและจัดการปัญหาด้านสุขภาวะของโรคที่เกิดในพื้นที่ ภายใต้โครงการศึกษาและพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อการบริการด้านสาธารณสุขข้อมูลส่วนบุคคลของจังหวัดนครนายกขึ้น โดยการทำงานร่วมกันระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้แก่สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครนายก และ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ โดยมีจังหวัดนครนายกเป็นจังหวัดอัจฉริยะต้นแบบ
โดยระบบจะทำการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพจากทุกหน่วยบริการที่อยู่ภายใต้สังกัดสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ภายในจังหวัดนครนายก ด้วยมาตรฐานที่แลกเปลี่ยนกันได้แบบทันที ระบบนี้ปัจจุบันใช้งานนำร่องอยู่ที่ 4 หมู่บ้านใน 4 อำเภอ ได้แก่ รพ.องค์รักษ์  ต.องค์รักษ์ อ.องค์รักษ์ จ.นครนายก, รพ.สต.บ้านไผ่ขวาง ต.อาษา อ.บ้านนา จ.นครนายก, รพ.สต.บ้านเขาทุเรียน  ต.เขาพระ อ.เมือง จ.นครนายกและ รพ.สต.บ้านเกาะกา ต.ท่าเรือ อ.ปากพลี จ.นครนายก

ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้งาน 
ระบบนี้จะช่วยในการดูแลและใส่ใจสุขภาพของตัวเองด้วยข้อมูลที่มีความถูกต้อง รวดเร็ว และทันเหตุการณ์ต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ  และปลอดภัย ร่วมกับการส่งเสริมสุขภาพที่ดีจากนักจัดการสุขภาพและแพทย์ผู้ที่รักษาที่ได้รับอนุญาตในการเข้าถึงข้อมูล






31.August_eMuseum


ฉบับที่ 31 เดือนสิงหาคม 2557

พิพิธภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ 
e-Museum

พิพิธภัณฑ์ เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ประเพณี รวมถึงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การที่จะจัดเก็บความสำคัญเหล่านี้ไว้อย่างเป็นระบบและมีการนำไปใช้งานอย่างสะดวก จึงจำเป็นต้องมีการจัดทำอย่างเป็นสารบบด้วยการนำเทคโนโลยีเพื่อการจัดเก็บมาใช้ ในรูปแบบ
พิพิธภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Museum

การจัดทำพิพิธภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นส่วนหนึ่งในการนำเทคโนโลยีเพื่อการอนุรักษ์มาใช้ในการอนุรักษ์ข้อมูล (Digital Preservation) ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่เป็นองค์ความรู้ทีี่เก็บในรูปแบบต่างๆ เป็นของสะสมที่มีคุณค่า การที่จะนำมาจัดเก็บให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลนั้น ต้องเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีในการจัดเก็บบริหารจัดการและแลกเปลี่ยน เผยแพร่ข้อมูล นอกจากนี้ยังต้องอาศัยกลไกเครือข่ายชุมชน การสร้างความเข้าใจ สร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี เริ่มจากท้องถิ่น โดยมุ่งส่งเสริมให้เกิดการศึกษา ก่อให้เกิดสะสม การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการเข้าถึงได้โดยง่าย


ประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีในงานพิพิธภัณฑ์

ด้านการอนุรักษ์ 

ช่วยในการอนุรักษ์ข้อมูลสำคัญ โดยลดการใช้ข้อมูลต้นฉบับที่อ่อนไหวต่อการถูกทำลาย เสี่ยงต่อการสูญหายจากการเข้าถึงโดยตรงจากผู้ใช้

ด้านการจัดการ

ช่วยให้เจ้าของข้อมูลมีเครื่องมือช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลจำนวนมากอย่างเป็นระบบ ช่วยในการแลกเปลี่ยนหรือเผยแพร่ผ่านระบบคอมพิวเตอร์

ด้านการเรียนรู้

เป็นแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิต 7 วัน 24 ชั่วโมง สำหรับทุกคนโดยบรรจุองค์ความรู้ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญา


ขั้นตอนการทำพิพิธภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์

1. data collection การจัดเก็บข้อมูล เป็นการเก็บรวบรวมเรื่องราวที่สำคัญ วัตถุต่างๆ ไว้เป็นหมวดหมู่



2. digitization การแปลงข้อมูล แก้ไข เปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บจากที่มีอยู่เดิม ให้เป็นไฟล์ดิจิทัล ด้วยอุปกรณ์การถ่ายภาพ การสแกน



3. data management การบริหารจัดการข้อมูล ต้องมีการใส่ค่าต่างๆ ที่อธิบายข้อมูล ที่เรียกว่า metadata เพื่อเป็นประโยชน์ในการสืบค้นในคลังข้อมูล ได้แก่ รหัสภาพ ชื่อภาพ สถานที่ เจ้าของภาพ วันที่ถ่าย คำอธิบายภาพ

4. data analysis การวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยการแบ่งประเภทชุดข้อมูลเป็นกลุ่มตามลักษณะประเภทของสิ่งที่จัดเก็บข้อมูลเพื่อการค้นหา

5. visualization การนำเสนอข้อมูล มีหลายรูปแบบ ได้แก่  Virtual museum, Digital archive,
Virtual reallity, Augmented Reality  (AR), 3D gallery เป็นต้น


ตัวอย่างการนำเสนอแบบ VR










ตัวอย่างการนำเสนอแบบ QR code


การนำไปใช้ประโยชน์
ปัจจุบันมีหน่วยงาน องค์กร เครือข่ายเพื่อการอนุรักษ์ให้ความสนใจในการจัดทำพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านการถ่ายทอดผลงานจากนักวิจัยของห้องปฏิบัติการวิจัยสารสนเทศสื่อประสม เนคเทค โดยนำองค์ความรู้สู่ชุมชนผ่านช่องทางการสนับสนุนของสวทช.ภาคเหนือ มีการเปิดอบรมการจัดทำ e-Museum จากเครื่องมือ อุปกรณ์ง่ายๆ ที่หาได้ใกล้ตัว ในท้องถิ่น ซี่งมีกลุ่มคนที่ประกอบด้วยนักเรียน นักวิชาการ สงฆ์ ฆารวาส ให้ความสนใจจำนวนมาก และมีการรวมกลุ่มกันจัดทำพิพิธภัณฑ์ในวงกว้าง

นำผลงานไปจัดเแสดงมหกรรมวิทยาศาสตร์ 2557 จ.เชียงใหม่
พิพิธภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ สัญจร จ.น่าน


29.juneCloudNose

                                                                                          ฉบับที่ 29 เดือนมิถุนายน 2557

                                                          
Cloud Nose 2.0
                             จมูกอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการตรวจวัดกลิ่นผ่านเครือข่ายแบบไร้สาย



จมูกอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเครื่องมือในการตรวจวัดและวิเคราะห์กลิ่นในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งทำงานโดยใช้เซ็นเซอร์วัดก๊าซชนิดต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ทดแทนจมูกมนุษย์ Cloud nose ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี 2555 เป็นการสร้างเครื่องต้นแบบสำหรับรายงานผลและการวิเคราะห์ผลของการตรวจวัดกลิ่นด้วยจมูกอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบออนไลน์โดยในเวอร์ชันแรกเป็นการใช้คอมพิวเตอร์ต่อเข้ากับเครื่องเพื่อใช้ในการบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลและมีการพัฒนาให้มีการส่งข้อมูลแบบไร้สาย

ในเวอร์ชันที่สอง  ได้มีการพัฒนาจมูกอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้สายผ่านระบบ Cloud เครื่องแรกในโลก สามารถทำการวิเคราะห์กลิ่นในอากาศในบริเวณที่ต้องการวัด โดยมีการวัดปริมาณก๊าซในอากาศ และส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายไร้สายแบบ ZigBee เพื่อนำไปเก็บไว้เป็นฐานข้อมูลสำหรับประมวลผลกลิ่นในอากาศ ณ ช่วงเวลานั้นๆ ระบบประกอบด้วย อุปกรณ์วัดทิศทางลม, ความเร็วลม, เซ็นเซอร์วัดความชื้น, วัดอุณหภูมิ และเซ็นเซอร์วัดก๊าซจำนวน 8 ชนิดด้วยเทคโนโลยีของเซ็นเซอร์อาร์เรย์ ได้แก่ O2, O3 , HCL, H2S, CO2, NO, NO2, และ NH3 ระบบสามารถรับส่งข้อมูลแบบออนไลน์จากเครื่องผ่านระบบ Cloud Computing เพื่อประมวลผลแบบเรียลไทม์และสามารถเรียกดูข้อมูลได้ทุกขณะผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้บนคอมพิวเตอร์พกพา และโทรศัพท์มือถือสมาร์ตโฟน ส่วนของซอฟต์แวร์สามารถประมวลผลปริมาณก๊าซแต่ละชนิดที่วัดได้และรายงานสภาพกลิ่นเป็นแบบระดับ เพื่อแจ้งเตือนได้เพิ่ม


คุณสมบัติเด่น
  • pure cloud platform เก็บข้อมูลเซ็นเซอร์ด้วย free cloud storage
  • webcam support ดูบรรยากาศและสภาพแวดล้อมแบบสดด้วยกล้องไอพี
  • website and Real-Time data แสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านรูปแบบของเว็บเซอร์วิส
  • location and GPS ระบุตำแหน่งด้วยเทคโนโลยี location share by google maps
  • ใช้งานง่ายและสะดวกสุดๆ กับการระบุตำแหน่งติดตั้งของจมูกอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเทคโนโลยี google map

สอบถามข้อมูล   
ดร. อดิสร เตือนตรานนท์
ห้องปฏิบัติการวิจัยนาโนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องกลจุลภาค
โทรศัพท์ 02-564-6900 ต่อ 2111





30.julyGoldNano



ฉบับที่ 30 เดือนกรกฎาคม 2557



สีสันของทองคำจิ๋ว
(Color of gold in nanoscale)

Color of gold in nanoscale คือกระบวนการสังเคราะห์อนุภาคนาโนทอง ใช้เทคนิค real-time spectrophotometer เพื่อตรวจวัดและทำนายคุณสมบัติทางแสงของอนุภาคนาโนในระยะก่อผลึก เพื่อสามารถปรับเปลี่ยนให้ได้อนุภาคตามต้องการ ทำให้ประหยัดทั้งเวลาและสารเคมี ซึ่งจากผลที่ได้ในเบื้องต้นนี้จะถูกใช้ในการพัฒนาระบบเพื่อให้สามารถสังเคราะห์อนุภาคนาโนทองปริมาณมาก

อนุภาคนาโนทองมีบทบาทสำคัญในการพัฒนางานด้านเซ็นเซอร์ เช่นมีการนำมาใช้เพื่อเพิ่ม detection limit ของเซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น เครื่องเอสพีอาร์ รวมไปถึงการพัฒนาเทคนิคตรวจวัดอื่นๆ เช่นระบบตรวจวัดสารพันธุกรรม ที่สามารถดูการเปลี่ยนแปลงสัญญาณแสงจากอนุภาคนาโนเหล่านี้ได้

ทีมนักวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการสังเคราะห์อนุภาคนาโนทองที่มีขนาดและรูปร่างต่างๆ เพื่อให้ได้คุณสมบัติทางแสงสอดคล้องกับความยาวคลื่นของระบบเซ็นเซอร์ โดยคุณสมบัติของแสงที่เปลี่ยนไปนี้เกิดจากการสั่นของอิเล็กตรอนตามสนามไฟฟ้าในคลื่นแสง หรือที่เรียกว่า คุณสมบัติคลื่นผิว (surface plasmon resonance) ที่สามารถสังเคราะห์อนุภาคนาโนทองทรงกลมและทรงกระบอกที่ความยาวคลื่นต่างๆ ได้ โดยอาศัยเทคนิค real-time spectrophotometer ตรวจวัดและทำนายคุณสมบัติทางแสงของอนุภาคนาโนในระยะก่อผลึก (nanocrystal formation) เพื่อสามารถปรับเปลี่ยนให้ได้อนุภาคตามต้องการ ทำให้ประหยัดทั้งเวลาและสารเคมี ซึ่งจากผลที่ได้ในเบื้องต้นนี้จะถูกใช้ในการพัฒนาระบบเพื่อให้สามารถสังเคราะห์อนุภาคนาโนทองปริมาณมากต่อไป

การประยุกต์ใช้งาน

อนุภาคนาโนทอง สามารถประยุกต์ใช้งานในการทำเซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น ตรวจหาโปรตีน ดีเอ็นเอ สารปนเปื้อนอื่นๆ โดยดูจากการเปลี่ยนสีเมื่อมีโมเลกุลที่สนใจมาติดกับทอง หรือใช้ขยายสัญญาณให้กับเทคนิคตรวจวัดอื่นๆ เช่น Surface Enhanced Raman Scattering (SERS), Surface Plasmon Resonance (SPR) และวิเคราะห์หาเซลล์มะเร็งด้วยเทคนิค dark-field imaging เป็นต้น

ผู้ใช้ประโยชน์ 
นักเทคนิคการแพทย์ นักวิจัย ธุรกิจเกี่ยวข้องกับชุดตรวจต่างๆ



สอบถามข้อมูล
ดร. อัชฌา กอบวิทยา
ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์
หน่วยวิจัยอุปกรณ์และระบบอัจฉริยะ
โทรศัพท์: 0 2564 6900 ต่อ 2103

eBrochure:SizeThailand



ระบบติดตามการเจริญเติบโต และพัฒนาการเด็กปฐมวัย สำหรับโรงเรียน


โปรแกรมบันทึกการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็กปฐมวัยสำหรับพ่อแม่


ระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวัน สำหรับโรงเรียน


โปรแกรมบันทึกและวิเคราะห์พฤติกรรม การบริโภคอาหารและออกกําลังกาย


ระบบติดตามสุขภาพและสรีระ


ระบบแนะนำสำรับอาหารกลางวัน สำหรับโรงเรียน
http://www.sizethailand.org/

แนะนำองค์กร




ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ก่อตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2529 ระยะเริ่มต้นมีสถานะเป็นโครงการภายใต้ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงาน (ชื่อในขณะนั้น) ต่อมาในวันที่ 30 ธันวาคม 2534 เนคเทคได้เปลี่ยนแปลงสถานะเป็นศูนย์แห่งชาติเฉพาะทาง และเปลี่ยนการจัดรูปแบบองค์กรใหม่ เพื่อให้มีความคล่องตัวขึ้นกว่าเดิม ตามพระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ. 2534

ปัจจุบันเนคเทคเป็นหน่วยงานเฉพาะทางของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีการบริหารงานในรูปแบบที่เป็นอิสระ ภายใต้สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  โดยมีทิศทางการดำเนินงาน "ร่วมสร้างสรรค์ผลงานวิจัยที่ก่อเกิดประโยชน์มีความเป็นเลิศ"

วิสัยทัศน์
เป็นองค์กรวิจัยที่ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรเพื่อสร้างผลงานที่ก่อเกิดประโยชน์ มีความเป็นเลิศ ซึ่งสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตลอดจนภูมิภาค

พันธกิจ  
ดำเนินการวิจัย พัฒนา ออกแบบ วิศวกรรม และถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของอุตสาหกรรมภายในประเทศให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากร ตลอดจนเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจ สังคม และชุมชนของประเทศ 



Vol21.Esfet

                                                                                          ฉบับที่ 21 เดือนตุลาคม 2556


            ระบบตรวจวัดน้ำเพื่อการเกษตรแบบอัตโนมัติด้วยมัลติอีสเฟตเซ็นเซอร์

เป็นระบบแบบอัตโนมัติสำหรับตรวจวัดเชิงปริมาณในสารละลายที่ใช้ฐานเทคโนโลยีของ Ion Sensitive Field Effect Transistor (ISFET) รองรับการพัฒนาเซ็นเซอร์ทางเคมี สามารถตรวจวัดค่าพีเอช (pH) ค่าไนเตรท (Nitrate) และอุณหภูมิ (Temperature) ในสารละลายแบบอัตโนมัติ 
 


ประกอบด้วยส่วนสำคัญ ได้แก่
  • ระบบ Flow Injection Analysis มีโปรแกรมสำหรับปรับเทียบค่าด้วยตัวเอง (Self Calibration) ซึ่งสามารถ Calibration หัววัดแต่ละชนิดได้เองตามรอบเวลาที่ตั้งโปรแกรมไว้ ทำให้สามารถเก็บข้อมูล การวัดค่าได้ค่าต่อเนื่องแม่นยำ
  • เซ็นเซอร์ทางเคมีและชีวภาพที่เป็น Ion Sensitive Field Effect Transistor (ISFET) ซึ่งได้เปรียบเซ็นเซอร์ชนิดอื่นๆ เพราะมีขนาดเล็กและมีความไวในการตรวจวัดสูง
  • มีแนวโน้มที่ดีที่จะพัฒนาเป็นระบบของไหลขนาดเล็ก (Microfluidic) โดยการฝัง ISFET ลงไป ระบบแบบนี้จะมีประโยชน์อย่างสูงในการลดปริมาณการใช้สาร ทั้งที่เป็นสารในการทำ Calibration และสารในการตรวจวัด ซึ่งทีมวิจัยคาดหวังว่าจะได้พัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ในอนาคตอันใกล้

จุดเด่นของเทคโนโลยี

  • ตัวทรานสดิวเซอร์เป็นอุปกรณ์ ISFET ตอบสนองต่อการวัดได้อย่างอย่างรวดเร็วแม่นยำ ความทนทานสูง ขนาดเล็ก ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบเดียวกับ CMOS สามารถผลิตได้เป็นจำนวนมากภายในประเทศ ที่ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์
  • เทคโนโลยีการสังเคราะห์โพลิเมอร์ สำหรับสร้างเป็น sensing membrane เพื่อตรวจวัดไอออนชนิดต่างๆ ในสารละลาย
  • ระบบ Flow Injection Analysis (FIA) พัฒนาโดย บริษัทบางกอกไฮท์แลป ระบบนี้ทำให้สามารถทำการตรวจวัดได้อย่างอัตโนมัติชาญฉลาด แม่นยำ ง่ายและเหมาะสมสำหรับผู้ใช้กลุ่มต่างๆ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์
โทรศัพท์ 038-857-100

Vol23.cellScan

ฉบับที่ 23 เดือนมกราคม 2557

ระบบตรวจนับเซลล์แบบอัตโนมัติด้วยภาพจาก CMOS Sensor

การนับจำนวนเซลล์เป็นการตรวจสอบคุณภาพคุณสมบัติต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีความจำเป็นมากในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นการตรวจสอบผลผลิตที่ได้พัฒนาขึ้นมา ตัวอย่างเช่นในกระบวนการผลิตยา จำเป็นที่จะต้องอาศัยการนับจำนวนเซลล์เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของยา โดยตรวจสอบจากปริมาณของเซลล์ที่ลดลงไป ซึ่งในปัจจุบันมีเครื่องมือนับอัตโนมัติเข้ามาจำหน่ายภายในประเทศไทยมากขึ้น แต่เนื่องจากมีราคาสูง มีขนาดใหญ่ และต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ผลการนับ ทำให้ไม่คุ้มค่าในการลงทุนกับบริษัทที่มีการใช้งานในจำนวนครั้งที่ไม่มาก
ระบบตรวจนับเซลล์ด้วยภาพจาก CMOS เซ็นเซอร์ (CellScan) เป็นเทคนิคการนับเซลล์แบบใหม่ที่ไม่ใช้เลนส์เป็นส่วนประกอบในการรับภาพซึ่งมีจุดเด่นที่สามารถนับจำนวนเซลล์ได้ปริมาณมากๆได้ในการทดลองนับเพียงครั้งเดียว จึงทำให้สามารถนับได้อย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมือที่มีจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน โดยที่ผลความถูกต้องไม่แตกต่างกัน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายด้าน เช่น ด้านการวิจัย การวิเคราะห์วินิจฉัย และอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น โดยใช้เซ็นเซอร์ในการตรวจวิเคราะห์ภาพแทนการใช้เลนส์ สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชำนาญการและให้ผลวิเคราะห์ภายในเวลาอันรวดเร็ว CellScan ยังสามารถต่อยอดได้โดยการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อการนับเซลล์ได้หลากชนิดภายในอนาคตอีกด้วย


จุดเด่นงานวิจัย
  • ใช้อุปกรณ์รับสัญญาณภาพ CMOS ในการตรวจนับเซลล์ ไม่มีการบิดเบือนของภาพเนื่องจากไม่ใช้เลนส์เป็นส่วนประกอบและเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต
  • พื้นที่ในการนับ (Field-of-View) ประมาณ 21 mm2 มากกว่ากล้องจุลทรรศน์ 40 เท่า และระยะลึกในการนับ (Depth-of-Field) ประมาณ 0.4 mm. มากกว่ากล้องจุลทรรศน์ 400 เท่า เมื่อเทียบกับกล้องจุลทรรศน์กำลังขยาย (400x)
  • ใช้เวลาประมวลผลรวดเร็วภายใน 20 วินาที และค่าใช้จ่ายในการนับต่อหนึ่งตัวอย่างจะมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับการนับแบบปกติทั่วไป ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีย้อมเซลล์เพื่อนับจำนวน
ในอนาคตโปรแกรมของระบบสามารถพัฒนาต่อยอดได้ซึ่งจะสามารถนับเซลล์ชนิดต่างๆ ได้หลากหลายมากขึ้นโดยไม่ต้องทำการปรับแก้ฮาร์ดแวร์ของตัวเครื่อง


เทคโนโลยีหลักในการพัฒนา 

CellScan ใช้หลักการของ Digital Holography ในเก็บสัญญาณทางแสงที่ได้จากตัวอย่างที่ต้องการตรวจสอบโดยสัญาณนี้มีความแตกต่างตามลักษณะรูปร่าง และความทึบแสงของเซลล์หรืออนุภาค ดังนั้นเซลล์หรืออนุภาคที่เป็นชนิดเดียวกันมักจะมีรูปร่างและความทึบแสงที่ไม่แตกต่างกัน นั่นหมายความว่าสัญญาณแสงที่ส่องผ่านวัตถุดังกล่าวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามรูปร่างและลักษณะภายในต่างๆ ของวัตถุนั้น โดย CellScan มีอุปรกณ์ที่ใช้ในการบันทึกสัญญาณแสงนั้นประกอบเป็นส่วนหนึ่งอยู่ภายใน ด้วยเหตุนี้เองที่ซอฟต์แวร์ของ CellScan สามารถช่วยในการนับเซลล์หรืออนุภาคต่างๆ ได้แม่นยำ

กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์
  • ห้องปฏิบัติการด้านการแพทย์ เช่น การทดสอบยา การตรวจนับสเตมเซลล์ การผสมเทียม และการทำเด็กหลอดแก้ว
  • ห้องปฏิบัติการวิจัยของสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัยและพัฒนาของภาครัฐและเอกชน
  • โรงงานอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เช่น การผลิตเบียร์ ไวน์และแอลกอฮอล์ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ



    การติดต่อ
    อังคาร จารุจารีต
    ผู้ช่วยนักวิจัย
    ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์
    ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
    โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2322

    ความเชี่ยวชาญ
    digital image processing and analysis, Biometrics, and digital holography


Vol24.copyCat

ฉบ้บที่ 24 เดือนมกราคม 2557


ตรวจสอบการคัดเลือกผลงานทางวิชาการและวิทยานิพนธ์ด้วย copycat 

ปัจจุบันเอกสารถูกเปลี่ยนแปลงอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ส่งผลให้ง่ายต่อการคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตัวเองโดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มา ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณ ในต่างประเทศถือว่าผิดกฎหมายสามารถถูกฟ้องร้องได้ การโจรกรรมทางวรรณกรรม (Plagiarism) จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่พบในแวดวงการศึกษาวิชาการในประเทศไทยที่เกิดขึ้นมานานแล้วและยังพบเห็นได้อยู่เสมอ ทั้งในระดับนักวิจัย ครู อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษา เป็นปัญหาที่บุคคลในวงวิชาการต้องตระหนักและเร่งแก้ไขปัญหา

การตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการ ถือเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและความละเอียดของผู้ตรวจเป็นอย่างมาก โดยปกติจะใช้วิธีการตรวจสอบการคัดลอกด้วยมือ ผู้ตรวจจะต้องทำการอ่านซ้ำวนไปวนมาในแต่ละเอกสารที่ต้องการตรวจสอบ แล้วเลือกประโยคที่คิดว่าน่าสงสัยมาตรวจสอบโดยผ่านเครื่องมือสืบค้น (Search Engine) หรือไปที่ห้องสมุด ซึ่งวิธีการนี้ต้องใช้ประสบการณ์ของผู้ตรวจมากและบางประโยคอาจหลุดการนำมาตรวจสอบ อีกทั้งแหล่งข้อมูลยังไม่ครอบคลุม จำนวนเอกสารก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เพราะฉะนั้นเครื่องมือตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการจึงเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับช่วยผู้ตรวจในการหาแหล่งที่มาของเอกสารว่าคัดลอกมาจากแหล่งใด



ปัจจุบันเครื่องมือตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานทางวิชาการในต่างประเทศที่ได้รับความนิยม เช่น Turnitin (อ่านว่า เทิร์น-อิท-อิน) เป็นเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบการคัดลอกงานเขียนจากฐานข้อมูลหลายแหล่ง เช่น เว็บไซต์ บทความตีพิมพ์ วารสาร นิตยสาร เป็นต้น มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่ใช้ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังมีข้อผิดพลาดในด้านการตรวจสอบเอกสารภาษาไทย ที่มักมีปัญหาเรื่องสระและวรรณยุกต์

หน่วยปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีเสียง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ จึงได้วิจัยและพัฒนาระบบตรวจสอบลิขสิทธิ์ผลงานวิชาการและวิทยานิพนธ์ ที่เรียกว่า ก๊อปปี้แคท (CopyCat: Copyright, Academic Work and Thesis Checking System)


CopyCat เป็นระบบตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ เช่น วิทยานิพนธ์ ข้อเสนอโครงการ ผลงานวิชาการ เว็บเพจ เป็นต้น สนับสนุนการตรวจสอบความคล้ายของเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยสามารถตรวจสอบกับเอกสารที่จัดเก็บไว้ในคลังข้อมูลหรือเอกสารออนไลน์บนอินเทอร์เน็ต และแสดงผลเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ความคล้ายกันของเอกสาร พร้อมทั้งระบุแหล่งข้อมูลที่พบและทำแถบสีข้อความในส่วนที่คล้ายกัน CopyCat ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบข้อความภาษาไทยได้ดีเมื่อเทียบกับเครื่องมือจากค่ายอื่น โดยเวอร์ชันปัจจุบันคือเวอร์ชัน 2.1
CopyCat ถือเป็นผลงานวิจัยที่มีเส้นทางการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มทำการวิจัยและพัฒนาตั้งแต่ปี พ.. 2553 ซึ่งเรียกว่า ดุ๊บดิ๊บ (Duplicate Detector Intelligent Plagiarism Checking: DupDip) โดยเริ่มแรกจุดมุ่งหมายในการพัฒนางานวิจัยนี้มาจากการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (NSC) ที่เนคเทคเป็นเจ้าภาพ ซึ่งการจัดการประกวดในแต่ละปีต้องมีการส่งขอเสนอโครงการผ่านระบบลงทะเบียนออนไลน์ที่ชื่อว่า GENA ปัญหาที่พบคือมีการคัดลอกข้อความหรือผลงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตนเองเป็นจำนวนมากหลายโครงการ ซึ่งเป็นความยากลำบากของคณะกรรมการในการตรวจสอบข้อเสนอโครงการ ดังนั้น DupDip จึงถูกพัฒนาเข้ากับระบบ GENA และนำไปใช้งานจริงตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน หลังจากนั้นได้มีการร่วมพัฒนากับหน่วยปฏิบัติการเชี่ยวชาญเฉพาะการประมวลผลภาษาธรรมชาติและระบบสารสนเทศอัจฉริยะ (NaiST Lab) ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปลี่ยนชื่อเป็น Anti-Kobpae และต่อมาในปี 2555 เนคเทคได้รับโจทย์วิจัยจากสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้เริ่มพัฒนา CopyCat จนถึงปัจจุบัน


หลักการทำงาน
ผู้ใช้ทำการส่งเอกสารที่ต้องการตรวจสอบการไปยังระบบ หลังจากนั้นระบบจะทำการวิเคราะห์เอกสารและทำการเทียบความคล้ายกับคลังเอกสารที่เตรียมไว้ ได้แก่ วิกีพีเดีย และคลังเอกสารจำเพาะ เมื่อทำการวิเคราะห์และเปรียบเทียบเสร็จ ระบบจะคืนผลลัพธ์ให้กับผู้ใช้โดยแสดงผลเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ความคล้ายกันของเอกสาร พร้อมทั้งระบุแหล่งข้อมูลที่พบและทำแถบสีข้อความในส่วนที่คล้ายกัน



คุณสมบัติผลิตภัณฑ์

  • รองรับการทำงานกับเอกสารหลายรูปแบบ เช่น pdf, doc, docx, odt, txt
  • ตรวจสอบเอกสารภาษาไทยและอังกฤษ
  • ตรวจสอบเอกสารที่ถูกเปลี่ยนแปลงบางส่วนได้ เช่น ลบคำ เพิ่มคำ หรือการสลับประโยค
  • ตรวจสอบกับหน้าเว็บบนอินเทอร์เน็ตได้
  • ตรวจสอบเอกสารกับคลังเอกสารจำเพาะได้
  • แสดงผลการตรวจสอบเป็นแถบสีข้อความที่คล้ายกันพร้อมทั้งเปอร์เซ็นต์ความคล้าย


จุดเด่น

  • ตรวจสอบการคัดลอกผลงานวิชาการและวิทยานิพนธ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
  • ตรวจสอบการคัดลอกรวดเร็วและถูกต้อง



ประสิทธิภาพ

แหล่งข้อมูล
จำนวนเอกสาร
ขนาดคลังข้อมูล (เมกะไบต์)
ขนาดเฉลี่ยของเอกสาร

(กิโลไบต์)
ขนาดดัชนี

(เมกะไบต์)
เวลาในการประมวลผล (วินาที/เอกสาร)
NSC Proposal
711
28.1
40.47
5.49
12.44
Thesis-KU
194
45.8
241.74
5.27
25.81
เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนา

  • การประมวลผลภาษาไทย (Thai Natural Language Processing)
    • Word segmentation การแบ่งคำภาษาไทยโดยประยุกต์ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่มีประสิทธิภาพสูง
  • การค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval)
    • Stop words removal การกำจัดคำที่ไม่มีความหมาย
    • Term weighting calculation การคำนวณค่าน้ำหนักของคำ
  • การทำเหมืองข้อความ (Text Mining)
    • Intelligent text selection technique เทคนิคการเลือกเฉพาะข้อความที่สำคัญอย่างชาญฉลาด เพื่อลดเวลาในการตรวจเอกสาร
    • Text similarity calculation การคำนวณความคล้ายกันของข้อความ

กลุ่มเป้าหมาย

  • สถาบันการศึกษา
  • หน่วยงานให้ทุนวิจัย
  • เจ้าของผลงานที่มีลิขสิทธิ์


ประโยชน์
  • ใช้งานง่าย ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา
  • มีการทำงานในรูปแบบ รับ-ให้บริการ (Client-Server) และพัฒนาเป็นลักษณะเว็บแอปพลิเคชั่น
  • ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ครู/อาจารย์ ในการตรวจผลงานของนักศึกษา
  • ตรวจสอบผลงานตัวเองว่าถูกผู้อื่นคัดลอกหรือไม่
  • ช่วยลดปัญหาในการละเมิดลิขสิทธิ์การคัดลอกเอกสารและช่วยป้องปรามผู้วิจัยไม่ให้มีการคัดลอกผลงานวิจัยของบุคคลอื่นได้
  • ป้องกันการกระทำการคัดลอกเอกสารจากนักศึกษาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
  • ส่งเสริมให้รู้จักการอ้างอิงแหล่งที่มา
  • ปลูกฝังเยาวชนให้มีความซื่อสัตย์


    ผลกระทบต่อสังคม

  • ด้านการศึกษา เป็นเครื่องมือสำหรับครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษาที่ช่วยลดเวลาในการตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการและวิทยานิพนธ์
  • ด้านวัฒนธรรมและจริยธรรม ช่วยสร้างความตระหนักในการอ้างอิงแหล่งที่มาและปลูกฝังจิตสำนึกไม่ให้คัดลอกเอกสาร
  • ด้านพาณิชย์/สาธารณประโยชน์
    • สามารถขยายผลให้หน่วยงานผู้ให้ทุนใช้ตรวจสอบเอกสารขอทุนวิจัยซ้ำซ้อน
    • เป็นทางเลือกการใช้ซอฟต์แวร์ตรวจสอบความคล้ายกันของเอกสารเมื่อเทียบกับการใช้ซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ

งานที่จะพัฒนาในอนาคต

  • เพิ่มประสิทธิภาพระบบ
  • เพิ่มความสามารถการตรวจสอบในกรณีที่ผู้เขียนหลีกเลี่ยงการตรวจจับโดยการถอดความ/การกล่าวซ้ำหรือการสรุปสาระสำคัญ
  • ตรวจสอบข้อมูลที่เป็นรูปแบบสื่อประสม (Multimedia)
  • สร้าง Crawler และเพิ่มแหล่งข้อมูลในการตรวจสอบ
  • เลือกที่จะตรวจสอบข้อความที่อยู่ภายในเครื่องอัญประกาศ (Quotation mark("...")) ด้วยหรือไม่
  • กำหนดประโยคหรือสำนวนที่ใช้ทั่วไปไม่ต้องนำมาตรวจสอบ (Phrase Exclusion)
  • Integrate เข้ากับสื่อการเรียนรู้ออนไลน์
การคัดลอกและลอกเลียนผลงานของผู้อื่นมาเป็นผลงานของตัวเองโดยไม่มีการอ้างอิงแหล่งที่มาถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมและจรรยาบรรณ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในวงการการศึกษาของประเทศ ที่ผู้เกี่ยวข้องต้องหันมาช่วยกันแก้ไขปัญหา ปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการทั้งในและต่างประเทศมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่ง CopyCat ก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยตรวจสอบการคัดลอกและลอกเลียนผลงานวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเอกสารภาษาไทย ที่ถูกพัฒนาโดยคนไทย ซึ่งวัตถุประสงค์ของเครื่องมือนี้คือ เพื่อส่งเสริมจริยธรรมและจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์งานประพันธ์ วรรณกรรม ปริญญานิพนธ์ สารนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ ตลอดจนงานเขียนอื่นๆ ใดก็ตาม ของนักเรียน นิสิต นักศึกษาตลอดจนบุคคลทั่วไป และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์งานที่ผู้สร้างเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือทรัพย์สินทางปัญญาในผลงานอย่างถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้งานซอฟต์แวร์ดังกล่าว จึงเป็นเพียงการตรวจสอบในเบื้องต้นและข้อเสนอแนะสำหรับผู้ใช้งานเท่านั้น หากแต่การตรวจสอบ พิจารณา หรือวินิจฉัยในรายละเอียดของงานเขียน ยังคงขึ้นกับดุลพินิจและการตัดสินใจของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ

ความคาดหวังต่อผลงานวิจัย คือความต้องการที่จะพัฒนาระบบตรวจสอบการคัดลอกผลงานทางวิชาการอัจฉริยะ (Intelligent Plagiarism Detection System) ให้สามารถตรวจสอบการคัดลอก ได้ทุกรูปแบบและให้สามารถตรวจสอบข้อมูลที่เป็นรูปแบบสื่อประสม (Multimedia) ได้อีก และให้ทุกสถาบันการศึกษาในประเทศไทยนำไปใช้งาน เพื่อให้ตระหนักและปลูกฝังการอ้างอิงแหล่งที่มา และส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงเอกสารระหว่าง สถาบันการศึกษาเพื่อให้ระบบสามารถตรวจสอบการคัดลอกเอกสารข้ามสถาบันการศึกษาได้



การติดต่อ
สันติพงษ์ ไทยประยูร
ผู้ช่วยนักวิจัย
ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีเสียง หน่วยวิจัยวิทยาการสารสนเทศ
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2281
 ความเชี่ยวชาญของนักวิจัย
-
ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System)
-
การทำเหมืองข้อความ (Text Mining)
-
การค้นคืนสารสนเทศ (Information Retrieval)
-
การตรวจสอบการคัดลอก (Plagiarism Detection)